ประเทศจีนรับเอาพุทธศาสนาเข้าไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์หั้น แต่ในสมัยราชวงศ์หั้นนั้นยังไม่ได้มีการประดิษฐานพุทธศาสนาชนิดที่เรียกว่าลงรากมั่นคงนัก พุทธศาสนามาเจริญเต็มที่ในสมัยราชวงศ์ถังซึ่งเป็นสมัยที่ถือกันว่าเป็นยุคทองของพุทธศาสนา ผู้หญิงคนแรกที่ศึกษาพุทธศาสนาจนเกิดความศรัทธาเลื่อมใสปรารถนาที่จะบวชเป็นภิกษุณีตามเรื่องราวที่ตัวเองได้ศึกษาในพระไตรปิฏกว่าพระพุทธเจ้านั้นได้ประดิษฐานพุทธบริษัทสี่เอาไว้แล้วก็มีภิกษุณีด้วยผู้หญิงก็เข้ามามีบทบาทในพระศาสนาเช่นเดียวกันแต่ในสมัยนั้นภิกษุจีนที่ไปบวชจากอินเดียมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นพระภิกษุทั้งสิ้น
       ครั้นจิงเจียนเข้าไปขอให้พระภิกษุชาวจีนบวชให้ บรรดาพระภิกษุชาวจีนเมื่อปรึกษากันแล้วก็ไม่กล้าบวชเพราะว่าไปติดอยู่กับเงื่อนไขที่ว่าผู้หญิงจะต้องบวชโดยสงฆ์สองฝ่ายคือบวชจากภิกษุณีสงฆ์และภิกษุสงฆ์จึงไม่มีภิกษุจีนคนไหนที่กล้าที่จะบวชให้จิงเจียน จิงเจียนไม่ละความพยายามพยายามติดต่อสอบถามในที่ต่าง ๆ จนกระทั่งพระอาจารย์รูปหนึ่งเป็นพระอาจารย์ชาวอินเดียที่มาจากกาสสะมิละ กาสสะมิละก็คือแคว้นแคชเมียร์ ซึ่งเป็นจุดที่พุทธศาสนาขึ้นไปเผยแพร่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
       ถ้าเรายังจำความได้ว่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้นมีคณะสงฆ์ที่หนีการกวาดล้างขึ้นไปถึงแคสเมียร์ขึ้นไปถึงกาสสะมิละแล้ว ที่กาสสะมิละนั้นเองที่เป็นเหตุให้คำสอนในพุทธศาสนาจำเป็นที่จะต้องแปลงรูปจากภาษาบาลีผันมาใช้ภาษาสันสกฤตเพราะภาษาสันสกฤตเป็นภาษาราชสำนักพระภิกษุหรือพระอาจารย์รูปนี้ที่มาจากอินเดียมาจากกาสสะมิละนี้ชื่อว่าท่านคุณะวรมันเวลาเขีนนเป็นภาษาไทยคนจะไปอ่านว่าคุณวรมันก็จะไปเข้าใจว่าเป็นฆราวาสแต่ไม่ใช่นี่เป็นชื่อของพระภิกษุชื่อพระอาจารย์คุณะวรมัน        พระอาจารยคุณะวรมันนี้มีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฏกและมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในพระวินัยเมื่อจิงเจียนไปขอให้ท่านบวช ท่านก็บวชให้โดยที่อธิบายว่าในสมัยพุทธกาลนั้นเมื่อพระแม่น้านางออกบวชก็บวชจากสงฆ์ฝ่ายเดียวพระแม่น้านางนั้นแท้ที่จริงแล้วบวชโดยการอนุญาตของพระพุทธเจ้าตามลำพังแต่นางสากิญาณี 500 รูปนั้น500 นางนั้นบวชโดยสงฆ์ฝ่ายเดียวในการบวชสมัยแรกของภิกษุณีก็พระภิกษุเป็นผู้บวชให้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในปัจจุบันที่พระภิกษุบางรูปบอกว่าเรื่องการบวชภิกษุณีนั้นไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุก็น่าจะไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องเพราะดั้งเดิมมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มอบหมายหน้าที่ให้ภิกษุสงฆ์เป็นผู้บวชภิกษุณีทั้งสิ้นแต่ต่อมาเมื่อมีการคับข้องใจในเรื่องการสอบถามอัตยายิกระธรรมของฝ่ายหญิงจึงได้มอบหมายให้พระภิกษุณีเอง พระภิกษุณีสงฆ์เองเป็นฝ่ายสอบถามอัตยายิกระธรรมจนเกิดการบวช 2 ฝ่ายขึ้นแต่เมื่อเกิดการบวช 2 ฝ่ายขึ้นแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เพิกถอนการอนุญาตให้พระภิกษุบวชภิกษุณีโดยสงฆ์ฝ่ายเดียว เพราะฉะนั้นตรงนี้เองที่เป็นเป็นประเด็นที่เราถกเถียงกันมาจนถึงทุกวันนี้ท่านคุณะวรมัน
        ท่านอาจารย์คุณะวรมันท่านอ่านพระไตรปิฏกแตกฉานท่านก็อธิบายว่าในเมื่อไม่มีภิกษุสงฆ์แล้วก็สามารถที่จะย้อนกลับไปใช้พุทธานุญาตเดิมที่สั่งว่าให้ภิกษุสงฆ์เป็นผู้บวชภิกษุณีท่านใช้คำสั่งนั้นจึงบวชจิงเจียนเป็นภิกษุณีรูปแรกของประเทศจีน ต่อมาเมื่อมีการติดต่อกับศรีลังกาโดยตรงมีเรือที่ชื่อว่าเรือนันทิ ซึ่งเป็นเรือพ่อค้าติดต่อค้าขายระหว่างศรีลังกากับประเทศจีนมาขึ้นที่เมืองนานกิง แต่ตอนนั้นพระภิกษุณีชาวศรีลังกาที่ติดมากับเรือไม่ทราบสาเหตุว่ามาเพราะเหตุใดมาด้วยกัน 3 รูป รูปที่เป็นหัวหน้าชื่อพระภิกษุณีเทวะสอน เมื่อขึ้นฝั่งที่เมืองนานกิงก็ปรากฏว่ามีผู้หญิงจีนจำนวนมากที่ประสงค์ที่จะบวชแต่ว่าท่านอาจารย์ภิกษุณีเทวะสอนก็บอกว่าลำพังมากัน 3 รูปเท่านั้นไม่สามารถที่จะทำสังฆกรรมจัดพิธีบวชให้ได้จำเป็นที่จะต้องขอภิกษุณีสงฆ์เพิ่มเติมจากศรีลังกา พระภิกษุณีเทวะสอนพร้อมกับภิกษุณีอีก 2 รูปก็อยู่ที่เมืองนานกิงเล่าเรียนภาษาจีนเพื่อที่จะได้พูดจากับชาวจีนให้เข้าใจ ในขณะเดียวกันก็มอบหมายเรือนันทิ เจ้าของเรือนันทิซึ่งเดินทางค้าขายติดต่อระหว่างศรีลังกากับประเทศจีนเมื่อนำเรือกลับศรีลังกานั้นก็ขอให้ไปนิมนต์ภิกษุณีมาเพิ่มให้ครบองค์สงฆ์เรือนันทิกลับไปศรีลังกาอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับมาพร้อมกับบรรดาภิกษุณี คณะภิกษุณีคณะใหญ่การเดินทางโดยเรือในสมัยนั้นต้องอาศัยลมเพราะฉะนั้นกว่าจะกลับมาได้อีกครั้งหนึ่งก็ต้องรอลมเพราะว่าเป็นเรือใบ เรือสินค้าที่เป็นเรือใบใช้ใบแล้วก็ต้องอาศัยลมจึงเป็นปีร่วมขึ้นที่มีคณะภิกษุณีสงฆ์มาเพิ่มเติม
        เมื่อครบภิกษุณีสงฆ์ตามเงื่อนไขของการบวชภิกษุณีท่านอาจารย์ภิกษุณีเทวะสอนจึงเป็นอุปัชฌาย์บวชให้กับผู้หญิงจีนถึง 300 นางที่วัดป่าใต้ เดอะเซ้าว์เท็นฟลอเรสโบนัสเท็ดส์ อยู่ในเมืองนานกิงวัดนี้ปัจจุบันนี้ไม่เหลือซากแล้วหมดไปกับกาลเวลา เมื่อภิกษุณีประดิษฐานในประเทศจีนครั้งนั้นเป็นที่มาของการก่อตั้งภิกษุณีสงฆ์สืบมาจนกระทั้งปัจจุบันโดยไม่ขาดสายสืบมาจนถึงสมัยที่คอมิวนิสต์ยึดครองประเทศจีนทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์เจริญรุ่งเรืองในประเทศจีนเป็นอันมากหนังสือที่จะอ่านได้ตรงนี้ก็คือ บิสนิสออฟอินไชน่า เล่มใหญ่นะคะ บิสนิสออฟอินไชน่ามีอีกสองสามเล่มที่สามารถจะศึกษาได้รวมทั้ง บิสนิสเท็กซ์ทรูดิเอเจ็ส ของเอ็ดเว็ดคอนเซ่ ก็จะพูดถึงการสืบสายภิกษุณีสงฆ์ตรงนี้ หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่น่าสนใจเป็นหนังสือที่เขียนเป็นภาษาจีนก็คือชีวประวัติของภิกษุณีสงฆ์ เขียนโดยพระภิกษุชื่อท่านอาจารย์เต้าเชิง เล่มนี้มีแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็มีแปลเป็นภาษาไทยเป็นชีวประวัติของบรรดาภิกษุณีที่ประสบความสำเร็จมีลูกศิษย์ลูกหามากมายจำนวนประมาณ 70 รูปซึ่งสามารถจะค้นคว้าหาอ่านได้ พูดถึงประเทศจีนในสมัยที่จีนคอมมิวนิสต์เข้ายึดครองนั้นก่อนหน้าที่จีนคอมมิวนิสต์จะยึดครองบรรดาพระภิกษุณีเมื่อได้ข่าวว่าถ้าหากว่าคอมมิวนิสต์ยึดครองแล้วเนี่ยตัวเองคงจะอยู่ไม่รอดจึงพากันอพยพออกมาอยู่ที่ เกาะโสโมซ่าหรือที่เรารู้จักกันปัจจุบันว่าเกาะใต้หวันบรรดาภิกษุณีเหล่านี้ออกมาเป็นกลุ่มใหญ่ออกมาพร้อมกับทรัพย์สมบัติแล้วก็พากันมาสร้างวัดใหม่บนเกาะใต้หวัน ตรงกันข้ามกับบรรดาพระภิกษุ พระภิกษุนั้นมีความเชื่อว่าความเป็นลูกผู้ชายย่อมต้องแข็งแรงกว่าน่าจะสามารถทนอยู่ได้ภายใต้การปกครองของจีนคอมมิวนิสต์แต่ปรากฎว่าเมื่อจีนคอมมิวนิสต์เข้ามายึดครองจริง ๆ
        บรรดาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายประสบความลำบากมากจึงต้องพากัน หลายคนก็ต้องสึกออกไปส่วนที่เหลืออยู่ก็พากันหนี หนีโดยการที่เกาะเรือมา เกาะมากับเรือสินค้าบ้าง เรือสำเภาอะไรบ้างมาขึ้นที่เกาะใต้หวัน โดยที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรนอกจากแทบจะเรียกว่ามีผ้าเตี่ยวมาผืนเดียวจีวรก็ไม่ได้เอาว่ายน้ำข้ามมาเกาะเรือมาเมื่อมาขึ้นที่เกาะใต้หวันบรรดาพระภิกษุณีซึ่งพอมาถึงตอนนั้นก็ได้สร้างวัดวาอารามของตัวเองเป็นปึกเป็นแผ่นแล้วก็ให้ความอุปาการะบรรดาพี่ชายน้องชายคนในคณะสงฆ์ถือว่าเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้นก็ให้ความอุปการะบรรดาพระภิกษุสงฆ์ช่วยเหลือช่วยสร้างวัดให้จำนวนพระภิกษุณีสงฆ์จึงมีมากว่าภิกษุสงฆ์ในใต้หวันแล้วก็ความสัมพันธ์ระหว่างภิกษุณีสงฆ์กับพระภิกษุสงฆ์เป็นไปด้วยดีเพราะว่าต้องไม่ลืมว่าคนจีนนั้นเค้ามีวัฒนธรรมที่เค้าจะเกี้กเฮ่าในความกตัญญูรู้คุณต่อผู้ที่มีบุญคุณกับเค้า
        1. จำนวนของภิกษุณีสงฆ์มีมากว่าเพราะว่ามาตั้งหลักฐานที่เนี่ยก่อน
        2. ฐานะของภิกษุณีสงฆ์ดีกว่าเพราะว่าออกมาจากแผ่นดินจีนแผ่นดินใหญ่ก่อนที่จะถูกยึดครองจึงมีทรัพย์สมบัติมา
        3. โดยที่ภิกษุณีสงฆ์เป็นฝ่ายอุปาการะภิกษุสงฆ์
        เมื่อภิกษุสงฆ์ตั้งหลักปักฐานแล้วก็มีความกตัญญูรู้คุณซึ่งกันและกันเพราะฉะนั้นคณะสงฆ์ในประเทศใต้หวันจึงเป็นคณะสงฆ์ที่มีทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ที่ทำงานผสานกลมกลืนกันดีที่สุดเมืองหนึ่งในโลก เพราะว่ามีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างนี้ในปัจจุบันที่จีนแผ่นดินใหญ่ก็ดีที่ใต้หวันก็ดีมีการบวชภิกษุณี มีการบวชพระภิกษุและภิกษุณีปีละครั้งโดยที่จะต้องดูบัญชีสมัครเอาไว้ก่อน บริชชิตสเตชั่น ลงทะเบียนสมัครเอาไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อที่จะได้มีการเตรียมการ อาตมาจะเล่าถึงวัดฟอฟังจานที่อาตมาได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองที่วัดฟอฟังจานนี้จะจัดการบวชใหญ่ให้ปีละครั้ง และทุก ๆ ปีที่เราได้พบก็จะเห็นว่าจำนวนพระภิกษุณีสงฆ์ที่เข้ามาบวชจะมีเป็นสองส่วนในขณะที่ภิกษุสงฆ์จะมีเพียงหนึ่งส่วนเฉพาะที่ฟอฟังจานเองซึ่งอยู่ในเมืองต้าชูอยู่ทางใต้ของประเทศจีนนั้นทั้งภูเขาจะมีภิกษุณี 700 รูป และมีพระภิกษุประมาณ 300 รูปมีกิจการทั้งโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย มีพิพิธภัณฑ์ มีโรงพิมพ์ มีห้องสมุดที่เป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ในตัวของตัวเองพร้อมเสด็จอยู่ที่นั้น ภิกษุณีที่เรียกว่า 1 ในจำนวนเดอะเฟริส์เท็น ในจำนวน 10 คนแรกทั้งภิกษุและภิกษุณี 10 คนแรกก็จะเป็นภิกษุณีทั้งสองสามรูปแล้วและท่ามกลางบรรดาพระภิกษุ พระภิกษุณีรู้หนึ่งที่เรารู้จักกันดีก็คือองค์ที่ได้รับรางวัลแม็กไซไซเพราะว่าท่านทำงานสังคมสงเคราะห์มีการสร้าง สร้างโรงพยาบาล สร้างมหาวิทยาลัย สำหรับผลิตหมอ ป้อนเข้าสู่โรงพยาบาลเป็นโรงพยาบาลที่ท่านเปิดดูแลคนยากคนจนทั่ว ๆ ไปอีกองค์หนึ่งที่เป็นเพื่อนของหลวงย่าก็คือท่าน เฉ่าหยวนฟาซือ เฉ่าหยวนฟาซือถ้าเขียนเป็นภาษาจีนกลางจะเขียนว่า ชิกเฮวหวัน เป็นชื่อเดียวกันนะคะ แต่ว่าที่ใต้หวันจะเรียกท่านว่าเฉ่าหยวนฟาซือทั้งสิ้น เฉ่าหยวนฟาซือขณะนี้อายุ 89 พรรษา เดิมเป็นเซ็นอาร์ติสเป็นศิลปินเซ็นนะคะ วาดภาพเซ็นแล้วก็เป็นผู้หญิงที่มาจากฮ่องกงนะคะมาจากเออ
        ก่อนที่จะอยู่ฮ่องกงท่านมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เป็นผู้หญิงเซี่ยงไฮ้ เวลาที่จะพูดถึงผู้หญิงเซี่ยงไฮ้นี่จะทำความเข้าใจได้ว่าเป็นผู้หญิงเมืองหลวงเพราะฉะนั้นจะมีความก้าวหน้านะคะมีความก้าวหน้าอย่างยิ่ง ท่านเฉาหยวนฟาซือแสดงนิทรรศการภาพงานศิลปะของท่านทั่วโลกมากแล้วนะคะไม่ว่าจะเป็นที่เยอรมันหรืออเมริกาก็ตามจึงเป็นเรียกว่าเป็นคนที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกและเมื่อหันเข้ามาบวชภิกษุณีท่านก็จะได้รับการสนับสนุนจากบรรดาศิษยานุศิษย์เป็นจำนวนมาก เมื่ออายุ 70 ท่านซื้อภูเขา ซื้อภูเขาแล้วก็ทำการก่อสร้างวิทยาลัยเดิมเป็นเพียงวิทยาลัยเอ็นจิเนียริ่งวิศวะ วิศวะใช่มั้ยค่ะพอต่อมาเวลานี้พัฒนาปรับปรุงขึ้นยกระดับขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยสอนทางพุทธศาสนาเป็นทีรู้จักของคนในวงการที่สนใจด้านพุทธศาสนา ล่าสุดที่ศากยะธิดาซึ่งเป็นองค์กรสตรีชาวพุทธนานาชาติก็ได้ไปจัดการสัมมนาใหญ่ที่นั้น ในเดือนกรกฎาคม ปี 2545คือปีนี้ อันนี้คือเป็นเรื่องราวการทำงานการสืบสายของภิกษุณีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังมาจนถึงปัจจุบัน ในจีนแผ่นดินใหญ่เองในช่วงที่จีนคอมมิวนิสต์ยึดครองเราก็มีความเคร่งครัดมากในการปฏิวัติวัฒนธรรมนั้นบรรดาภิกษุภิกษุณีก็มีความยากลำบากมากเพราะว่าถูกกีดกันวัดต่าง ๆ ก็ถูกยึดไปใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการทางทหารบ้าง เป็นโรงเรียนบ้าง เป็นโรงงานบ้างแต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีภิกษุณีที่เหลือรอดมาจากการกวาดล้างของจีนคอมมิวนิสต์จำนวนหนึ่งและบัดนี้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาก็มีการรื้อฟื้นแล้วก็เริ่มบวชภิกษุณีในจีนแผ่นดินใหญ่เช่นเดียวกัน สายของภิกษุณีจีนนี้ยังได้สืบทอดการบวชให้กับภิกษุณีสงฆ์ในเกาหลีด้วย อาตมาจะขอเลยพูดถึงภิกษุณีสงฆ์ในเกาหลีสักเล็กน้อยเพราะว่าเกาหลีเป็นอีกแห่งหนึ่ง เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่บรรดาผู้หญิงที่สนใจในการบวชภิกษุณีก็จะไปแสวงหาการบวชที่นั้นในปี ค.ศ. 1988 ขณะภิกษุณีสงฆ์ในเกาหลีได้ก็มีการก่อตั้งสมาคมภิกษุณีสงฆ์ของเกาหลีขึ้น
        ภิกษุณีองค์ที่เป็นประธานองค์แรกก็เคยมาประเทศไทย แล้วก็เคยมาเข้าร่วมในการจัดประชุมศากยะธิดาที่อาตมาและลูก ๆ ที่ช่วยดูอยู่ที่ประเทศไทยจัดขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1991 ในปี ค.ศ. 1993 เมื่อศากยะธิดาซึ่งขณะนั้นอาตมาเป็นประธานอยู่ได้ไปจัดการประชุมที่ศรีลังกาท่านประธานภิกษุณีสงฆ์จากเกาหลีก็มาเป็นเรียกว่ากรรมการอุปถัมภ์นะคะแล้วเมื่อจัดการบวชคุณหญิงขนิษฐาที่นั่น ท่านก็เป็นผู้คริบผมให้ คริบผมให้แล้วก็บรรดาศิละธาราหรือสามเณรีที่บวชจากสายของท่านอาจารย์สุเมโธที่อังกฤษเป็นคนปลงผมให้กับคุณหญิงขนิษฐา เมื่อปี 1993 อันนี้เป็นปี ค.ศ. นะคะที่เรามีจัดการประชุมศากยะธิดาที่ศรีลังกา ตรงนี้ไม่ได้เล่าไว้ที่อื่น แต่ขอโอกาสที่จะเล่าไว้ตรงนี้เป็นการบันทึกข้อมูลประวัติศาสตร์ไปด้วยในตัว ตอนที่คุณหญิงขนิษฐาบวชนั้นเป็นการบวชโดยที่มีพระสงฆ์สองฝ่ายพระภิกษุสงฆ์และพระภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายละ 5 องค์ครบ ครบการบรรพชาแต่คุณหญิงขนิษฐา เมื่อรับการบวชแล้วเนี่ยไม่ได้ครองผ้าเหลืองเพราะเกรงว่าเมื่อมาเมืองไทยจะทำงานไม่สะดวกจึงใส่ผ้าขาวเป็นรูปแบบของแม่ชีเพื่อจะได้มีโอกาสทำงานกับแม่ชีได้ง่ายขึ้นและไม่เป็นที่เพ่งเล็ง แต่ว่าการบวชของท่านนั้นเป็นการบวชจากสงฆ์สองฝ่ายมีภิกษุณีสงฆ์ครบ 5 องค์แล้วก็มีพระภิกษุสงฆ์ครบ 5 องค์เหมือนกันอันนี้ก็เล่าไว้โดยสังเขป เพื่อให้เราเห็นขั้นตอน เห็นขั้นตอนประวัติความเป็นมาของการสืบทอดจากศรีลังกาไปประเทศจีนแล้วก็ต่อไปประเทศเกาหลีส่วนปี พ.ศ.นั้นเมื่อถอดเทปออกมาแล้วคงจะมีลูก ๆ ที่จะหา พ.ศ. ให้มันถูกต้องแล้วใส่ลงไปเพื่อให้ครบเป็นรายละเอียดที่สามารถศึกษาค้นคว้าต่อกันได้ ก็ขอเจริญพรเพียงนี้
กลับหน้า  การสืบสายภิกษุณี

 วัตรทรงธรรมกัลยาณี เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต. พระประโทน อ. เมืองฯ จ. นครปฐม 73000
โทร. (034) 258-270 โทรสาร (034) 284-315   E- mail : [email protected]
Copyright (c) 2002-2003 Thaibhikkhunis.org  All rights reserved.