หน้าแรก arrow บทความ arrow ชาล้นถ้วย
ชาล้นถ้วย Print E-mail

      วันนี้ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๔ พอข้างแรมเราจะพบว่าตอนเราเดินมาสวดมนต์ตอนเช้าพระจันทร์ยังสว่างอยู่ ตรงกันข้ามกับข้างขึ้นพระจันทร์จะสว่างตอนเราเดินมาสวดมนต์ตอนกลางคืน  การเฝ้าสังเกตธรรมชาติ เป็นการเรียนรู้โดยตรง เมื่อวานไปพูดที่หมู่บ้านเด็ก จังหวัดกาญจนบุรีให้กลุ่มที่เขามาอบรมพัฒนาชุมชน ซึ่งเป็นชาวพม่าเขาให้พูดถึงการศึกษาแนวทางเลือกสมัยใหม่ อาตมาเริ่มพูดถึงเรื่องเนื้อที่ในจิตใจเงื่อนไขประการหนึ่งสำหรับการเรียนรู้ ก็คือท่าที่ของเราที่เราจะเปิดใจรับความรู้ใหม่ ๆ เปรียบเทียบกับในเรื่อง ถ้วยแก้วถ้าน้ำในถ้วยแก้วมันเต็มแล้วจะเอาอะไรไปใส่ก็ใส่ไม่ได้เพราะมันจะล้นออกมา แต่ถ้ามันมีเนื้อที่เหลืออยู่บ้างก็พอที่จะใส่น้ำอื่นได้

      เล่าให้เขาฟังถึงท่าที่ของศาสตราจารย์ชาวตะวันตก ที่ไปเยี่ยมอาจารย์เซนผู้เฒ่า ศาสตราจารย์คนนี้เต็มไปด้วยความรู้ ไปเยี่ยมอาจารย์โดยอยากรู้ว่าอาจารย์เซนผู้เฒ่านี้รู้อะไรบ้าง ไม่ได้ไปในฐานะที่จะเรียนรู้ความรู้อะไรจากอาจารย์เซนผู้เฒ่า แต่งตัวใส่สูทผูกเน็คไทอย่างดี เมื่อไปหา  หลวงตาเซน ๆ ท่านก็ยกน้ำชามาต้อนรับ เทน้ำชาลงในถ้วยชาจนล้นจากถ้วยไหลลงไปที่จานรอง ล้นจากจานรองลงไปนองที่พื้น ศาสตราจารย์ผู้นี้ก็คิดว่า เอ อาจารย์ผู้เฒ่านี้เป็นอย่างไรนะเห็นหรือเปล่า ก็บอกว่าอาจารย์เซนว่าชามันล้นถ้วยแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าก็บอกว่าเจริญพร คุณโยม เหมือนกับคุณโยมเลย คือชามันล้นถ้วยไม่สามารถจะใส่อะไรลงไปอีกได้ เช่นเดียวกันเงื่อนไขของการเรียนรู้ก็คือทำให้มันมีเนื้อที่ในใจของเรา ที่เราจะเรียนรู้ข้อมูลใหม่เมื่อพูดอย่างนี้ชาวพม่าเขาก็ไม่เข้าใจ ว่าทำอย่างไรเขาถึงจะมีเนื้อที่ภายในใจและเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเขามีเนื้อที่ภายในใจอยู่หรือไม่มี สิ่งที่ตามมาก็คือการปฏิบัติหรือการฝึกฝนต่อมา ทำอย่างไรเราถึงจะไม่เต็มไปด้วยอหังการมมังการ ๆ ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในของเราในตัวเรา ถ้าไม่เป็นคนปฏิบัติยึดมั่นก็ไม่รู้ว่าตัวเองยึดมั่น ตัวกูใหญ่ก็ไม่รู้ว่าตัวกูใหญ่ อาตมาสามารถจะแนะได้ว่าถ้าหากว่าเราคิดว่าตัวเราเก่งก็ไม่เป็นไรละวางไม่ได้ตัวกูนั้นมันเก่งเหลือเกินไม่เป็นไร แต่ว่าเปิดใจไว้นิดหนึ่งว่าคนอื่นเขาก็เก่งเหมือนกัน ปัญหาที่คิดว่าตัวกูเก่ง กูเก่งคนเดียวกูไม่ให้คนอื่นเก่งท่าที่อย่างนั้นที่มันไม่มีการเอื้อต่อคนอื่นไม่สามารถที่จะเรียนรู้คนอื่นได้ ที่นี้เมื่อเราเป็นผู้ปฏิบัติอยู่กับธรรมชาติเฝ้ามองธรรมชาติ ทุกอย่างในธรรมชาติเป็นครูของเราทั้งนั้น ทันทีที่เรามีท่าทีอย่างนี้ แปลว่า ถ้าเราอยู่กับธรรมชาติตัวเราจะเล็กนิดเดียว ความสำคัญในตัวเรานั้นเทียบจะไม่มีเลย องค์ทะไลลามะ ท่านเล่าว่าเช้าตื่นขึ้นไปมองในสวน มองขึ้นไปบนท้องฟ้ายังเห็นดาวค้างฟ้ายังเห็นพระจันทร์ค้างฟ้า แล้วท่านนึกถึงตัวท่านเองว่าในจักรวาลนั้นกว้างใหญ่ตัวท่านเองนั้นเล็กเหลือเกิน ถ้าเรามีความคิดอย่างนี้แน่นอนเราจะเปิดใจยอมรับการเรียนรู้ไม่ว่าจะมาจากสุนัข ไม่ว่าจะมาจากคน ไม่ว่าจะมาจากต้นไม้ เราจะเรียนรู้ได้ทั้งสิ้นอันนี้ก็คือท่าทีที่จะเปิดให้มีเนื้อที่ในใจเรา เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้ได้ อาตมายกตัวอย่างเข้าไปในสวนดอกบัวฉัตรที่เราพยายามที่จะกำจัด บัวฉัตรมันมีคุณลักษณะความเป็นบัวฉัตรที่แข็งแกร่งมาก วิธีการแพร่พันธุ์ของมันไม่เหมือนคนอื่นจะแพร่พันธุ์โดยการออกมาคล้าย ๆกิ่ง เสร็จแล้วก็จะชูดอกขึ้นไปแล้วก็แตกรากลงมาแล้วก็จะพุ่งต่อไป พุ่งตามผิวน้ำไม่ได้อยู่ข้างล่างเมื่อรากออกแล้วรากจึงจะพยายามเกาะกับพื้นดินพยายามยึดเกาะกับสิ่งใกล้เคียงเพราะฉะนั้นการแพร่พันธุ์จึงรวดเร็วมาก ตัวของบัวฉัตรเองมีวิธีการป้องกันตัวเองโดยที่ก้านใบก้านดอกจะเป็นหนาม ปลาจะกินก็ไม่ได้ แล้วยังชูใบขึ้นมาเหนือน้ำอีกไม่ให้ปลากิน เป็นบัวที่ฉลาดมากในขณะที่บัวอื่นปลากินใบหมดไม่รู้จักชูใบขึ้นมา ถ้าใบบัวมันอยู่กับน้ำอยู่ระดับผิวน้ำใบอ่อนๆ ออกมาปลากินหมดและก้านดอกยังกินได้อีกมนุษย์ก็รังควานอีกเอาก้านดอกมากินหมด  ส่วนบัวฉัตรในความเป็นตัวของเขาเอง ก้านก็เป็นหนามใบก็ชูขึ้นมาปลาก็กินไม่ได้มนุษย์ก็กินไม่ได้ จึงเป็นบัวที่ได้รับการยกย่องชื่นชมว่าสมควรว่าให้เป็นสิ่งที่ถวายพระ เพราะฉะนั้นบัวฉัตรของจะมีศักดิ์ศรีมากกว่าบัวอื่น ๆ แม้ภาษาอังกฤษเขาก็จะเรียกต่างกัน บัวฉัตรเขาจะเรียกว่า Lotus  ในขณะที่บัวอื่น ๆ บัวที่มีอยู่ในสระเขาจะเรียกว่า วอเตอร์รีรี่ เป็นคำศัพท์ที่ต่างกัน วอเตอร์ ที่แปลว่าน้ำ รีรี่ ( lily ) ศักยภาพในการแผ่ขยายของบัวฉัตรไปอย่างกว้างไกล ธรรมะอะไรที่เราเรียนรู้จากบัวฉัตร ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ ความรวดเร็ว ความสามารถในการปกป้องตัวเองให้พ้นจากอุปสรรค ภัยอันตราย จากปลา จากคน ท้ายที่สุดคุณค่าของเขาก็จะเป็นคุณค่าที่สูงกว่าบัวอื่น ๆ เพราะว่าเขาเป็นบัวที่ได้ถวายพระพุทธเจ้า  ธรรมะของบัวเป็นอย่างนี้นำมาสู่การที่เราจะทำอย่างไร ที่เราจะมีความเข้มแข็งปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากกิเลส เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้จากบัวได้ทั้งสิ้น บัวแม้จะเกิดจากตม ไม่เคยเปื้อนน้ำกลีบบัวแม้จะเกิดจากเปลือกตมก็ไม่เปื้อนน้ำเหมือนกัน เปรียบได้กับมนุษย์ที่เป็นผู้ที่ได้ละวางจาก การยึดข้องของโลกียะวิสัยแม้จะอยู่กับโลกแต่ก็ไม่ใช่ชาวโลก นี่คือความงามที่เราได้เรียนรู้จากดอกบัว ตัวของดอกบัวฉัตรจะสังเกตดูปลายจะแหลม ความแหลมคมของดอกฉัตรเพื่อที่ว่าเขาจะชูดอกขึ้นมา สูงส่งให้เป็นที่สะดุดตาสะดุดใจของคนและสามารถจะแทงทะลุใบได้ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นดอกบัวฉัตรหลายดอกขึ้นมาโดยการแทงทะลุใบขึ้นมานี่คือความสามารถที่เราจะเรียนรู้จากธรรมชาติ อาตมายกตัวอย่างเรื่องเดียว คือเรื่องดอกบัวที่เราพบเราเห็นเราเฝ้ามองเพราะฉะนั้นการเฝ้ามองอะไรไม่ใช่เฝ้ามองเฉย ๆ เหม่อ ๆ ลอย ๆ มองให้เกิดปัญญา ในสวนเราเป็นธรรมะทั้งนั้น ถ้าเรามีสติพิจารณาทุกสิ่งเป็นครูสำหรับเรา  ขงจื้อ เคยพูดว่าถ้ามีมนุษย์ ๒ คนยืนอยู่ตรงหน้าเราได้ครูแล้ว ๒ คน คนหนึ่งมันเลวสนิท เขาก็เป็นครูเราในแง่ที่ว่ามันเลวอย่างนี้เราจะไม่ทำอย่างนี้การกระทำ ๑-๒-๓-๔ ที่เรามองเห็นว่ามันเลวเราจะไม่ทำ     อีกคนหนึ่งดีมาก ๆมีความสามารถมากคนนี้ก็เป็นครูเรา เราก็เพียรพยายามที่จะมีความเฉลียวฉลาดอย่างคน ๆนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีที่ท่าอย่างนี้ เราก็จะมีเนื้อที่ในใจของเราอย่างนี้ ไม่ถือตัวว่ากูเก่ง ๆคนเดียว ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ชีวิตของเราจะเป็นชีวิตแห่งการเรียนรู้ เฝ้ามองเกิดสติปัญญาที่จะนำมาสู่การปฏิบัติในส่วนตน เป็นการรู้ทั้งระดับโลกและระดับธรรม ทั้งโลกิยะและโลกุตระ เพราะฉะนั้นในตอนเย็นที่เราคุยกัน อาตมาจะยกตัวอย่างจะตั้งคำถาม จะซักฝอกซักไส่ คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็เพื่อให้ลูก ๆทั้งหลายได้เกิดปัญญาเกิดปัญญาทั้งทางโลกเกิดปัญญาทั้งทางธรรม ไม่ว่าเราจะทำอะไร ไม่ว่าเราจะมองอะไร จะต้องรู้จักคิดจะต้องรู้จักพิจารณา ชีวิตต่อไปในอนาคตอาจจะเป็นชีวิตที่เราต้องอยู่ตามลำพัง ไม่มีแม่คอยสอน ไม่มีพ่อคอยสอนเป็นชีวิตที่เราต้องรู้จักคิดเอง มองเองข้อสำคัญที่สุดในการเป็นมนุษย์คือเราต้องสามารถแยกแยะรู้จักอะไรเป็นสิ่งที่ดีอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดี มีวิริยะมีขันติ ที่จะรักษาไว้เฉพาะสิ่งที่ดีพยายามกำจัดสิ่งที่เป็นอกุศล ตรงนี้ถ้าลูก ๆ ไม่ได้สร้าง ทำไว้ตั้งแต่ตอนนี้เมื่อลูกเป็นผู้ใหญ่ไปลูกก็ไม่รู้จักแยกแยะความผิดความถูก ลูกก็จะไม่มีความเพียรที่จะรักษาให้อยู่ในความดีงามเสมอ ลูกก็จะมีความอ่อนแอถูกอกุศลดึงรั้นไป ตามเพื่อนไปเที่ยวคลับเที่ยวไนท์คลับเที่ยวไปเรื่อย ๆไม่รู้จักว่าคุณค่าของชีวิตเป็นอย่างไรเพราะฉะนั้นในเวลาเย็นถ้าเรามีโอกาสอยู่ด้วยกัน ซ้อมวิชาความรู้กันให้เราทุกคนตักตวงประโยชน์ อย่านึกว่าหลวงแม่ก็พูดอย่างนี้ทุกเย็นพูดเมื่อไรก็ได้ไม่ให้ความสำคัญ เราต้องนึกด้วยว่าทุกอย่างเป็น อนิจัง ทุกอย่าง ไม่เที่ยง หลวงแม่อาจจะพูดวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้พูดก็ได้ไปแล้วไปไหนก็ไม่รู้หายไปแล้วไม่เจอะไม่เจอแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่เราอยู่ด้วยกันให้ตักตวงประโยชน์ให้สูงสุด อาตมาก็พยายามให้ในส่วนที่ตัวเองให้ได้ แต่ถ้าให้ไป ๆ แต่ก็หายไปหมดมันไม่มีการตอบคืน ไม่มีการแสดงความสนใจ ชื่นชมในวิชาความรู้ที่ให้คนให้ก็เกิดความท้อแท้หมดแรง เพราะว่าไม่รู้ทำไปแล้วมันได้อะไร มันไม่ได้ตั้งใจเรียนไม่ตั้งใจเพียรพยายามที่จะเป็นไปกับการศึกษา การศึกษาสมัยเป็นการศึกษาที่จะไปด้วยกันทั้งครูและนักเรียนไม่ใช่เป็นการให้โดยฝ่ายเดียว วันนี้เราเริ่มพูดในเรื่องท่าที่ของการศึกษา ๆของเราก็คือท่าที่ของเราที่เราจะศึกษาให้มันเจริญขึ้นมา การศึกษาที่มันจะต้องมีเนื้อที่ในใจที่เราต้องมีท่าที่ในใจที่เราจะเปิดรับรู้ เปิดรับองค์ความรู้ใหม่ๆ ความว่องไวความเฉลียวฉลาด จำเอาไว้เราจะใช้ดอกบัวฉัตรในสระเป็นตัวอย่างว่าทำอย่างไรที่เราจะเป็นอย่างดอกบัวฉัตรที่มีความขวนขวาย พากเพียร มีความมานะ อดทน ทั้งหมดนี้ไปเป็นเพื่อการพัฒนาตน เช้านี้ต้องให้สัมภาษณ์วิทยุรัฐสภาขอจบเพียงเท่านี้.
      ขอเจริญพร... 
๒๐  มีนาคม ๒๕๔๖

 

วัตรทรงธรรมกัลยาณี เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต. พระประโทน อ.เมืองฯ จ.นครปฐม 73000
โทร. (034)258-270 โทรสาร (034) 284-315 E-mail: [email protected]
Copyright (c) 2002-2006 Thai Bhikkhunis All rights reserved.


จำนวนผู้เข้าชม ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2549