หน้าแรก arrow ธรรมเทศนา arrow เรามาวัตร...ทำไม
เรามาวัตร...ทำไม Print E-mail

       วันนี้เป็นวันพระเล็กตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๗ ลูก ๆ บางคนที่ไม่เคยมาที่วัดนี้ ช่วงนี้เราจะทำสมาธิในขณะเดียวกันเราก็จะฟังธรรมไปด้วย ถ้ายังไม่เคยทำสมาธิมาก่อนให้พิจารณาที่ลมหายใจของเรากำหนดหายใจเข้ารู้ กำหนดหายใจออกรู้จิตไม่ซัดส่ายไม่ง่วงเหงาซึมเซา ถ้าเรารู้สึกง่วงเหงาซึมเซากำหนดมองที่พระอาทิตย์ สมมุติว่าพระอาทิตย์อยู่เบื้องหน้าเราแสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะทำให้เราตื่น คนที่จิตฟุ้งซ่าน พยายามนึกถึงของที่หนักมันจะได้ถ่วงเราลงมาจะทำให้เราไม่ฟุ้งซ่านไปไกล ให้เราพิจารณาว่าเรามาวัตรทำไม เรามาวัตรประการแรกเพื่อมาสร้างบุญสร้างกุศล วันนี้เราได้ถวายกองทาน ญาติโยมบ้างคนก็นำดอกไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเบิกบานใจ และยิ่งไปกว่าความเบิกบานใจ ดอกไม้เป็นธรรม ที่เตือนให้เรารู้ว่า ดอกไม้ที่ถวาย วันนี้งดงาม สดชื่น แจ่มใส พรุ่งนี้มันก็ร่วงโรยไป ธรรมที่เราได้จากดอกไม้ที่เราถวายพระก็คือ สังขารร่างกายของเราก็เป็นเช่นเดียวกับดอกไม้นั้น เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วเราก็เสื่อมเป็นธรรมดา ความเสื่อมของสังขารเป็นธรรมดานั้นคือการที่เราน้อมถวายดอกไม้ด้วยความเข้าใจในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการบูชาคุณองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่สูงขึ้นไปกว่าการบูชาดอกไม้เท่านั้น

เรามาทำบุญ ทำกุศล โดยการเอาข้าวของมาถวายพระเพื่อให้พระนั้นจะยังชีพอยู่ได้ เพื่อให้พระได้รับใช้พระศาสนา เพื่อให้พระได้สั่งสอนเรา เพื่อให้พระได้ดำเนินชีวิตที่ดีเป็นตัวอย่างกับเรา ขณะเดียวกันถ้าดำเนินชีวิตดีแต่เราไม่ได้ทำตามเลย ในความเป็นจริงมันก็ไม่ช่วยให้ชีวิตของเราพัฒนาขึ้นมาได้ แท้ที่จริงแล้วการบรรลุธรรม ไม่จำกัดต้องเป็นพระ คุณโยมก็สามารถบรรลุธรรมได้ หนทางแห่งความรู้แจ้ง หนทางที่เข้าถึงซึ่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ได้จำกัดเฉพาะพุทธบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่หนทางนี้เป็นหนทางที่เปิดให้กับทุกคน ๆ ที่เดินตามทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สามารถเข้าถึงความรู้แจ้งด้วยกันเหมือนกันหมด นี้คือความงดงามของพุทธศาสนา เราไม่ได้มีการกีดกันเฉพาะคนนั้น เฉพาะคนนี้ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทั้งคนบวชและคนไม่บวชสามารถบรรลุธรรมได้ทั้งสิ้น นี้เป็นความงดงาม เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาวัตรทำบุญ ทำทาน ทำกุศล ทำกุศลอันนี้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Wholesome ทำสิ่งที่สมบูรณ์ ให้จิตใจของเราก็เป็นกุศล น้อมนำใจเข้ามาวัตร ใจเราเป็นกุศลไม่งั้นเราไปห้างสรรพสินค้าสนุกสนานไปตามชาวโลก แต่เรามาวัตรเพื่อที่เราจะมาวัดใจของเรา ว่าใจของเรานั้นกิเลสที่มันพอกพูนลดน้อยลงไปเพียงใด เพราะเรามาวัตรเพื่อมาขัดเกลาจิตใจทำใจให้สบาย เพื่อที่ว่าเราจะได้ดำเนินชีวิตที่มีความหมาย มีคุณภาพ มาวัดเราจะเห็นคน 2 พวก คนพวกหนึ่งก็คือนักบวช อีกพวกหนึ่งก็คือ ฆารวาส ทั้งฆารวาส ทั้ง พระ ถ้าไม่ได้วัดตัวเองมันไม่มีอะไรที่จะการันตีว่า พระจะกิเลสน้อยกว่าชาวบ้าน หรือ ชาวบ้านจะกิเลสมากกว่าพระ อันนี้ก็คือ สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ อาตมาเห็นหลายคน ที่ฆารวาสนั้นเองพยายามมีวิริยะความเพียร มีความอดทน มีศรัทธายึดมั่นที่จะละวาง ดำเนินตามทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางครั้งอาจจะมากกว่าคนที่บวชด้วยซ้ำ เฉพาะฉะนั้นถ้าเรานึกว่าเราเป็นพี่น้องกัน พุทธบริษัทจริง ๆ เป็นพี่น้องกันอย่าไปนึกว่าเป็นพระเราไปติติงไม่ได้เดี๋ยวตกนรก พระก็พี่เรา น้องเรา พระผู้หญิงก็พี่เรา น้องเรา ถ้าหากว่าทำอะไรที่เราคิดว่าจะไม่เป็นการดีต่อพระศาสนา เราต้องมีโอกาสที่จะประคับประคองซึ่งกันและกัน บอกกล่าวซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ว่าช่างมันตัวใครตัวมัน มันเลวก็ช่างมันอย่างนี้ก็ไม่ได้เอื้อต่อพระศาสนา คุณโยมมาวัตร คุณโยมก็มาวัดตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มาเพิ่มพูนกุศล ให้ตัวเราเองและคนที่เราสัมผัสในวันนี้ วันนี้เป็นวันพระใครก็ตามที่เราสัมผัสเพิ่มพูนความงดงาม ความเต็มเปี่ยมให้เกิดขึ้นในจิตใจ ฝรั่งที่มาเรียนเมื่อ ๒-๓ อาทิตย์ก่อน ที่บอกว่าให้หยุดนิ่งไม่คิดทำใจให้ว่าง ให้โปร่ง ละวางไม่ได้มันคิดตลอดเวลา อาตมาก็บอกว่ามันมีเทคนิควิธีแก้ ว่าถ้ามันจะคิด ให้มันคิดแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ดีมันก็เข้าไปทดแทน เข้าไปเติมเต็ม ส่วนความคิดชั่วมันก็ลดน้อยลงไปไหลลงข้างล่างทำนองนั้น ถ้าไม่สามารถจะหยุดคิดได้ ก็ขอให้ความคิดนั้นเป็นกุศลเป็นความคิดที่ตรวจสอบตัวเอง เป็นความคิดที่มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ถ้าหากว่าเราคิดตลอดเวลาเราเอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง เราดีคนเดียวคนอื่นมีแต่ข้อบกพร่อง สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเกิดความเป็นกุศลจิต ความเศร้าหมองในใจ ใจเราก็ไม่เต็ม ใจเราก็ไม่เปี่ยม มาวัตรเราก็ไม่มีอิ่มเอิบ มาวัตรเราต้องจิตใจอิ่มเอิบ เพราะมาวางสิ่งที่เป็นกิเลส และเรามาเพิ่มพูนสิ่งที่เป็นกุศล กุศลนี้มันจะทำใจของเราให้เต็ม ทำใจของเราให้เปี่ยม เราให้มีหลักนึกอย่างนี้
๑. ตรวจสอบตัวเอง
๒. มาทำใจของเราให้เต็ม ให้เปี่ยมกุศล
๓. มาเกื้อกูลพระศาสนา
๔. มาเป็นปัจจัยให้คนอื่นเขาได้ทำใจเต็มให้เปี่ยม ถ้าหากว่าเรามีจุดมุ่งหมายที่เรามาวัตรอย่างถูกต้อง   
      คุณโยมก็ไม่ต้องกลับไปด้วยความรู้สึกที่เป็นทุกข์ บางคนบอกว่ามาวัตรแล้วเป็นทุกข์กว่าก่อนมาวัตร ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่ามาวัตรด้วยตัวตน มาวัตรด้วยอัตตา เมื่อเข้ามาวัตรสิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เรานึก เราก็ไม่พอใจ สิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เราเคยบอกแล้วน่าจะเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นตามใจเรา เราก็เกิดความไม่พอใจ เพราะฉะนั้นคนที่มาวัตรแล้วแบกความทุกข์กลับไปก็คือ คนที่ไม่ได้มาแสวงที่จะละวาง ไม่ได้มาเสริมให้คนอื่นเขาฟูเขาเต็ม กุศลของเขา บุญกุศลมันเลยควบคู่กันไป แต่งเติมติติง ติติงก็ติติงด้วยความเมตตา ถ้าถูกใครติติงหน้าเราจะเสียเลย หน้าแดงเลือดขึ้นหน้าอาย แต่แท้ที่จริงนั้นคือการที่เราติติงเรานั้นเป็นครู ไม่มีใครสักกี่คนที่กล้าติติงเราได้ คนส่วนใหญ่ที่เราพบในสังคมไทย เป็นสังคมที่ไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่กล้าพูดต่อหน้าเรา แต่ลับหลังเราเขาก็จะนินทาเราทันที เพราะฉะนั้นถ้าใครติติงเรา เรารู้สึกขายหน้า เรารู้สึกอาย แต่ต้องรู้ว่านั้นคือครู เขาเปิดโอกาสให้เราได้ปฏิบัติจริง ๆ ถ้าเราตั้งสติใหม่ด้วยท่าทีใหม่เช่นนี้ ไม่ว่าเราจะเจอะเจอใครถ้าเขาดีเราก็สาธุ จริง ๆ แล้วคนที่เขาดีต่อเรานั้นเขาไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น แต่คนที่ไม่ดีสิ เป็นเหมือนกับครูที่ติติง เตือนให้เราได้มองตัวเองเสมอ เป็นการปฏิบัติธรรมเสมอ ๒ ปีแรกที่เข้ามาบวชมีคนว่ามากในระยะยาว อาตมากลับมองว่านั้นเป็นสิ่งที่ดี ดาบที่พิชิตศึกต้องเป็นดาบที่เป็นเหล็กกล้า กว่าที่จะเป็นเหล็กกล้า ต้องถูกเผาถูกตีนับครั้งไม่ถ้วนที่จะทนทาน ที่จะมั่นคงที่จะแข็งแรงนั้นคือการสร้างสมบารมี เราต้องทำความเข้าใจ มีความเมตตา สามารถที่จะมั่นคงได้อยู่ในความเมตตา เช่นเดียวกันในการมาวัตรตั้งใจของเราให้มั่นคง ว่าการที่เรามาวัตรนี้เรามาแสวงหาอะไรหรือเปล่า ถ้าจะมาแสวงหาความร่ำรวยอาจจะได้นะคุณโยม แต่จะเป็นผลพลอยได้ ก็คือ เมื่อเราทำใจของเราให้บริสุทธิ์ สิ่งที่เราได้ เราก็มีความเยือกเย็น มีวิริยะ มีความขันติ เมื่อผู้คนเขาพบปะพูดจากับเรา ถ้าเราทำการค้าอยู่กับเขา เขาก็จะรู้สึกถึงความสงบ ความนิ่ง ความเยือกเย็นของเรา เขาก็อยากทำการค้ากับเราในลักษณะนี้ก็เป็นผลพลอยได้ ให้เราเป็นคนทำมาค้าขึ้นเพราะเราอยู่ในศีล ศีล คือ เครื่องที่ทำให้เราอยู่ได้อย่างปกติได้รับการคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา ชีวิตของเราไม่ได้ละเมิดใคร ไม่ต้องมีความภัยต่าง ๆเลย เพราะว่าภัยมันจะเกิดขึ้นก็เพราะว่าเราได้ไปละเมิดเขา ถ้าเรามั่นคงอยู่ในศีลของเราไม่ต้องกลัว ถ้าอะไรมันจะเกิดมันก็เกิด ถึงคุณโยมกลัวหรือไม่กลัวมันก็เกิด เพราะฉะนั้นถ้าคุณโยมปฏิบัติมั่นคงพยายามสร้างบุญ พยายามสร้างกุศล กุศลที่สำคัญก็คือกุศลจิต ใจของเราให้คิดดี คิดชอบ อันนั้นจะเป็นเหมือนกับประทีปที่อยู่ในใจของเรา ไม่มีลม ไม่มีพายุชนิดที่จะทำให้ ประทีปดับลงไปหรือจะทำให้ประทีปนี้ลดแสงลงได้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้เองที่จะทำให้เรามีฐานอันมั่นคง เรามาวัตรเรามาเจอะเจอคนที่ปฏิบัติด้วยกันก็เกิดความมั่นคงขึ้น เรามาวัตรบางทีเรามาถูกน้องตำหนิ เรามาถูกพี่ตำหนิ ให้ขอบคุณถ้าเราไม่มีคนตำหนิเราก็เลิงไป เหมือนกับลูกโป่งลอยไปไม่มีใครดึงไม่มีใครรั้งต้องขอบคุณที่มีคนดึงมีคนรั้ง ต้องขอบคุณที่มีคนตำหนิติติงเราถ้าเราคิดอย่างนี้มีท่าทีอย่างนี้ อาตมาเชื่อว่าคุณโยมมาวัตรคุณโยมก็จะกลับไปด้วยความรู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง โล่ง สามารถที่จะปล่อยวางจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง ข้อสำคัญขอให้จำเอาไว้ ท่าทีของเราที่จะเป็นกุศลเสมอ ท่าทีที่จะเอื้ออาทรต่อคนอื่นเสมอ ท่าทีที่จะเปิดใจรับคำตำหนิติติงเราถ้าเป็นความจริงเขาเป็นครูเรา ต้องกราบขอบคุณต้องกราบ ถ้าไม่เป็นความจริงต้องฝึกให้เราต้องเมตตาต่อเขา เราต้องมีความเมตตาต่อเขาถ้าเขาว่าเราด้วยความไม่จริงก็เพราะตัวเขาเองมีปัญหา ตัวเขาเองอัตตา
      ตัวตน ไม่ว่าจะอย่างไรเราได้การปฏิบัติทั้งสิ้น คนที่มาวัตรแล้วถ้าไม่มีท่าที่อย่างนี้ก็จะเสียเวลาเปล่ากับการมาวัตร


      ขอเจริญพร  
      ๗  มิถุนายน ๒๕๔๖

 

วัตรทรงธรรมกัลยาณี เลขที่ 195 ถนนเพชรเกษม ต. พระประโทน อ.เมืองฯ จ.นครปฐม 73000
โทร. (034)258-270 โทรสาร (034) 284-315 E-mail: [email protected]
Copyright (c) 2002-2006 Thai Bhikkhunis All rights reserved.


จำนวนผู้เข้าชม ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2549