สวัสดีค่ะหนูดีค่ะ ขอรายงานตัวค่ะหนูดีเป็นสมาชิกใหม่ของวัตรทรงธรรมกัลยาณี ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยค่ะ หนูดีอาสามาเล่าเรื่อง รายงานกิจกรรมของพี่ๆ ในวัตรฯ ตามประสามือใหม่นะคะ ก็ขอนำเสนอข่าวแรกค่ะ สืบเนื่องจากปีที่แล้วหลวงแม่ได้นำคณะพี่ๆ ไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย คณะมีโอกาสได้พบกับดร. พระครูปลัดโกวิท อภิปุญโญ (หลวงพ่อโกวิท) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไทยกุสินาราท่านเป็นพระธรรมทูตที่มีความสามารถ รอบรู้มีประสบการณ์มากในการเผยแผ่ ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย เมื่อพี่ๆ ทราบว่าหลวงพ่อกลับมาประเทศไทยจึงเรียนหลวงแม่ขอโอกาสอันงามนี้นิมนต์หลวงพ่อมาแสดงธรรม และถ่ายทอดประสบการณ์ของท่านให้กับพี่ๆ ที่วัตรทรงธรรมกัลยาณีในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ที่ผ่านมาคะ
พี่ๆ ที่เคยร่วมไปประเทศอินเดียคราวก่อนนำทีมโดย พี่หมอพลตรีหญิงวัธนี พี่ติ๊ก พี่ตุ้ย พี่เรณู ต่างพร้อมใจกันมาที่วัตรฯ ตั้งแต่เช้า แต่พอหลวงพ่อและคณะมาถึงวัตร เห็นพี่ๆ ตั้งตัวไม่ติด ตื่นเต้นวิ่งหาน้ำชากาแฟรับรองกันวุ่น โชคดีว่าได้เพื่อนเก่าอย่างคุณราเจฟ (มัคคุเทศน์ร่วมทางเมื่อคราวไปประเทศอินเดีย) ถวายของแทนให้ ช่วยให้การรับรองผ่านไปด้วยดีค่ะ หลวงแม่และพี่ๆ นำหลวงพ่อชมสถานที่ต่างๆ ภายในวัตรฯ โดยเฉพาะพระวิหารพระไภษัชยคุรุฯ ที่กำลังก่อสร้าง จึงได้โอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องการก่อสร้าง และได้คำแนะนำมากมายจากหลวงพ่อด้วยค่ะ จากนั้นก็นั่งพักสนทนาที่หอฉัน หลวงพ่อเมตตาพวกเราชาววัตรฯ ได้บรรยายธรรม และถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานของพระธรรมทูต เห็นพี่ๆ นั่งฟังด้วยมือจดใจจ่อ เห็นแล้วปลื้มใจแทนหลวงแม่ค่ะ
ในเวลา ๑๑.๐๐ น. นิมนต์หลวงพ่อขึ้นชั้น ๓ ของโบสถ์เพื่อเป็นตัวแทนคณะสงฆ์รับปัจจัยสมทบงานกฐินสร้างวัดไทยไวสาลี เมืองไวสาลี รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย หลวงพ่อได้กล่าวน้อมนำใจพวกเราให้พร้อมในการทำบุญครั้งนี้ พี่หมอและพี่เรณูเป็นตัวแทนของวัตรฯ ถวายปัจจัย หลวงพ่อนำสวดให้พร สร้างความปิติกับพวกเราชาววัตรฯ เป็นที่สุด  เมืองไวสาลีนี้เป็นนครหลวงของแคว้นวัชชี แห่งราชวงษ์ลิจฉวี เป็นที่ตั้งของ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน มีความสำคัญเพราะเป็นสถานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำพรรษาเป็นพรรษาสุดท้าย เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่กำเนิดการทำน้ำพระพุทธมนต์ และที่สำคัญเป็นที่กำเนิดปฐมภิกษุณีแห่งพระพุทธศาสนา (ประทานการบวชให้พระแม่น้านางมหาปชาบดีโคตมีเป็นภิกษุณีรูปแรก พร้อมด้วยศากิยานีอีกจำนวนมาก) อีกทั้งเป็นสถานที่ทำสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๒ วัดไทยเวสาลีมีพระมหา ดร.ฉลอง จนทสิริ (เลขาฯ พระธรรมฑูตสายประเทศอินเดีย)เป็นผู้ดูแลและดำเนินการก่อสร้าง ครั้งเมื่อไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดียคราวก่อน หลวงแม่และคณะจำต้องพักค้างแรมที่วัดนี้ (นอกรายการทัวร์) เพราะรถทัวร์ที่ใช้เดินทางเกิดเสียหน้าวัด ต้องหยุดซ่อมโดยใช้เวลาร่วม ๑๒-๑๓ ชั่วโมง คณะกลับถือเป็นโอกาสได้พัก เที่ยวชมวัดพุทธนานาชาติในบริเวณใกล้เคียง และนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ อีกทั้งความศรัทธาและความผูกพันของหลวงแม่ต่อวัดไทยเวสาลี ส่งผลให้หลวงแม่บอกบุญลูกๆ ในคณะให้ร่วมกับหลวงย่าสมทบกฐินเพื่อสร้างวัดนี้ ซึ่งจะทอดในราวเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๐ พี่ๆ ที่อ่านข่าวนี้แล้วสนใจร่วมบุญก็ติดต่อได้นะคะ ที่วัดไทยพุทธคยา มณฑลพุทธคยา จังหวัดคยา รัฐพิหาร ๘๒๔๒๓๑ ประเทศอินเดีย โทร. ๐๐๑๙๑-๖๓๑-๒๒๐๐๔๗๐ หรือที่พระเทพเมธี เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ เจ้าคณะกทม. หนูดีขออนุโมทนาบุญรอไว้ล่วงหน้าเลยเจ้าค่ะ
 หลังฉันภัตตาหารเพลหลวงพ่อบรรยายธรรมต่อเนื่องจากภาคเช้า แล้วจึงเดินทางกลับในเวลา ๑๔.๐๐น. หนูดีได้รวบรวมข้อธรรมจากพี่ๆ ที่มือจดใจจ่อมาแบ่งปันกันไว้เป็นแนวทางผึกตน ฝึกจิตดูใจตัวเองค่ะ o วัดไทยที่อินเดีย จะห้ามหนังสือพิมพ์ไทยและจานดาวเทียมเข้าวัด เพราะต้องการให้พระไทยอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของอินเดียที่มีเนื้อหายกย่องคนทำความดี และนำเสนอแต่เรื่องราวของการทำความดีเป็นหลัก ผิดกับหนังสือพิมพ์บ้านเราที่มีแต่เรื่องปล้น ฆ่า ข่มขืน ดูแล้วให้ความรู้สึกที่ไม่ดี และต้องการให้พระไทยดูทีวีท้องถิ่นเพื่อให้ได้ภาษาเพิ่มขึ้น เราอุตส่าห์หนีทีวีช่อง ๓ ๕ ๗ ๙ จากบ้านเราแล้วยังจะให้ตามเข้ามาในวัดได้ยังไง o ในประเทศอินเดียเราจะไม่เห็นคนอินเดียดื่มเหล้าในที่สาธารณะ ทั้งการดื่มเหล้าไม่ผิดกฎหมาย เราไปอินเดียมาจะเห็นได้ว่าไม่มีป้าย เมาไม่ขับ หรืออะไรทำนองนั้นปรากฏให้เห็นเลย เพราะอะไร เพราะคนอินเดียปฏิบัติตามกฎ ๓ กฎ ได้แก่ ๑.กฎของสังคม ๒.กฎของศาสนา และ ๓.กฎหมาย การดื่มเหล้าในประเทศอินเดียนั้นผิดต่อกฎของสังคม และกฎของศาสนา แต่ไม่ผิดกฎหมาย จึงเป็นเหตุให้คนอินเดียไม่ดื่มเหล้าในที่สาธารณะ และเป็นข้อสังเกตว่ากฎหมายมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ต่างจากกฎของสังคม กฎของศาสนาที่มั่นคง และยาวนานกว่า o กรณีคำถามที่มีคนเคยถามหลวงพ่อว่า รักพรรคการเมืองไหนนั้น ในความเป็นพระแล้วไม่รักและไม่ชังใคร พระต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา และ เมื่อถึงที่สุดแล้วจึงใช้อุเบกขา o พุทธศาสนานั้นว่าด้วยเรื่องบุญกับบาป ก็ไม่ต่างกับการมองด้วยแง่มุมที่ต่างไป เช่น ด้านการค้า ก็ว่าด้วยเรื่องของ กำไร ขาดทุน ด้านอรรถคดี ก็ว่าด้วยเรื่องของ ถูก ผิด ด้านกีฬา ก็ว่าด้วยเรื่องของ แพ้ ชนะ ด้านการปกครอง ก็ว่าด้วยเรื่องของ การได้ การเสีย (ประโยชน์ของส่วนรวม) ทุกคนต้องเลือกสิ่งต่างๆ ข้างต้นตามหน้าที่ เช่นผู้ปกครองที่ฉลาดก็ควรเลือกให้ได้มาก และเสียน้อย และนักบวชจะเทศน์เกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ได้ แต่จะต้องมีเรื่องของบุญ และบาปอยู่ในเรื่องนั้นๆ ด้วยเสมอ o หลวงพ่อมีวันนี้ได้เพราะแม่ แม่เปรียบเหมือนโค้ชประจำตัวหลวงพ่อก็ว่าได้ เพราะอุปนิสัยส่วนตัวเป็นคนพูดตรง ไม่ไพเราะ ไม่เกรงใจใคร แม่จะคอยตักเตือนเสมอให้ปรับปรุง เมื่อเริ่มขึ้นเทศน์แม่ก็จะตามฟังเสมอทุกครั้ง แต่ถ้าไม่ได้ไปฟังก็จะคอยถามคนอื่นๆ ว่าพระเทศน์เรื่องอะไร มีใจความอะไรบ้าง แม่ก็จะมีคำวิจารณ์ต่างๆ คอยแนะนำให้ปรับปรุงเสมอ เช่น ต้องไม่ติคนกินเหล้าบนธรรมมาส เพราะจะได้ศัตรู เป็นพระแล้วต้องไม่โกรธ เพราะพระโกรธดูแล้วไม่งาม o หลวงพ่อชอบดู ติดตามการทำงานของผู้หญิง เห็นผู้หญิงทำงานแล้วทำให้รู้สึกระลึกถึงแม่ ใครที่ดูถูกผู้หญิงทำงานนั้นต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับแม่ตัวเอง นอกจากนี้ผู้หญิงที่ทำงานในบ้านเรามีไม่มาก งานของหลวงแม่ที่ทำด้านภิกษุณีในประเทศไทยนี้ หลวงพ่อเปรียบเทียบว่าเหมือนการเดินขึ้นเนิน ซึ่งต้องใช้กำลังกายมากมายเพื่อเดินขึ้นเนินที่ขรุขระ มีขวากหนามมากมายที่ต้องขจัดให้พ้นทาง ผิดกับงานของพระสงฆ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับอยู่แล้วเพียงแค่บวชก็ได้รับการยอมรับแล้วเปรียบเหมือนเดินอยู่บนทางเรียบที่มีขวากหนามน้อย o อาสาสมัครที่ทำงานให้วัตร ขอให้ระลึกว่างานนี้ไม่ใช่งานของวัตร แต่เป็นงานของประเทศ เป็นงานของพระศาสนา o งานอาสาสมัครเป็นงานหนัก และงานอาสาสมัครนี้ต้องใช้ ศรัทธาเป็นเครื่องร้อยประสาน ใช้วิริยะเป็นเครื่องถักทอ เพื่อให้มีทั้งเส้นยืน และเส้นนอนเพื่อจะได้เกิดเป็นผืนได้ o หลวงพ่อเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้ใครฟรี มีโบนัสให้เสมอแต่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน อย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง o งานไม่มีแบ่งแยกว่าผู้หญิง ผู้ชาย เหมือนภาษาธรรม ไม่ว่าจะเปล่งออกจากปากใคร ทั้งชาย หญิง เด็ก ผู้ใหญ่ ก็ยังเป็นธรรมเสมอ ไม่มีสาย ไม่มีช้า ไม่มีเร็ว แต่มีคุณค่าตลอด o หลวงพ่อชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่ชอบเขียนหนังสือ ทุกครั้งที่อ่านมักจะตั้งคำถามเสมอว่าอ่านแล้วได้อะไร ในการอ่านพุทธประวัติถ้าเราสงสัยในเรื่อง ถาดลอยทวนน้ำ ว่าเป็นเรื่องจริง หรือไม่จริง ถ้าเกิดสงสัยแล้วอย่าอ่านเพราะอ่านแล้วก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้ารู้ในความจริงที่ว่า ถาดลอยทวนน้ำนั้น เป็นการสื่อให้รู้ว่าศาสนาพุทธเป็นการสอนให้ทวนกิเลสของคนแล้วเมื่อนั้นจึงควรที่จะอ่านพุทธประวัติ o การเดินขึ้นเนิน หรือ ถาดลอยทวนน้ำ ต่างก็เป็นการสวนกระแสคน เป็นการทวนกิเลสของคนทั้งสองอย่างนั้นล้วนแต่ ๑.ต้องใช้กำลังมาก เพราะต้องเผชิญอุปสรรคที่มีอยู่มาก ๒.ต้องไม่ท้อถอย เพราะต้องเจอขวากหนามที่มีมาก o หลวงพ่อรู้สึกว่าทุกวันนี้พระให้ศีลกันมาก พร่ำเพรื่อเกินไป แต่คนก็ไม่รู้จักศีล ๕ แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีการ ศีลเป็นเครื่องช่วยให้ชีวิตปกติ มีชีวิตเป็นปกติ มีทรัพย์สินเป็นปกติ มีครอบครัวที่ปกติ มีร่างกายเป็นปกติ ถ้าเราต้องการให้มีทุกอย่างที่ว่ามาเป็นปกติ ก็ต้องสร้างหลักประกัน ซึ่งหลักประกันหลักๆ มี ๕ เรื่องได้แก่ ๑. หลักประกันให้ชีวิต มีร่างกายปกติ มีชีวิตยืนยาว เกิดแล้วไม่ตายเร็ว (เกิดแล้วตายตั้งแต่เป็นทารก เป็นเด็ก) ถ้าอยากมีหลักประกันให้ชีวิตก็รับศีลข้อ ๑ ไป ถ้าเราฆ่ามาก ก็ต้องเกิดแล้วตายไว ๒. หลักประกันทางทรัพย์สิน อยากมีทรัพย์เป็นของเราไม่ถูกแย่ง ถูกขโมย เพื่อสร้างหลักประกันทางทรัพย์สินก็รับศีลข้อ ๒ ไป ๓. หลักประกันทางครอบครัว อยากมีลูกที่ว่านอนสอนฟัง มีภรรยาปกติ สามีปกติไม่นอกใจซื่อสัตย์ต่อกัน ก็รับศีลข้อ ๓ ไป ๔. หลักประกันทางเครดิต อยากเป็นคนที่พูดแล้วมีคนฟัง มีคนเชื่อถือ มีคนให้เกียรติ พูดแล้วใช่ พูดแล้วทำ ก็ให้รับศีลข้อ ๔ ไป ยกตัวอย่างเช่น การเป็นด๊อกเตอร์ไม่ใช่เครดิต แต่เป็นเครื่องเสริมเครดิตเท่านั้น การมีเครดิตคือการพูดแล้วทำ ๕. หลักประกันทางสุขภาพ อยากเป็นคนมีสุขภาพดี ก็รับศีลข้อ ๕ ไป หลวงพ่อจะพูดเรื่องนี้บ่อยๆ จนกว่าญาติโยมจะรับศีลถ้ายังไม่รับก็จะมีไม้เด็ดอีกขั้นหนึ่งว่าจะสวด จะรับศีลเองมั้ยหรือจะให้หลวงพ่อสวดให้ ถ้าสวดให้จะสวดให้ ๔ จบ คิดค่าบริการ และต้องฟังผ่านบุคคลที่ ๓ ซึ่งหมายถึงญาติ ลูกหลานที่มาฟังสวดแทน ถ้าบุคคลที่ ๓ ตั้งใจฟังสวดแทนให้ก็คงพอได้รับบ้าง แต่ถ้าเขามัวแต่ยุ่งตักข้าวต้มให้แขกทานอยู่ก็คงจะไม่ได้ยินได้ฟัง จงสวดเองเพราะจะได้ยินก่อน ได้ยินได้ฟังแน่นอน o วิธีการต่อสู้ที่พระพุทธเจ้าสอนคือ การไม่ต่อสู้ เพราะเป็นการต่อสู้กับกิเลสของคนอื่น o การสวดมนต์จะได้ฤทธิ์ เป็นของแถม แต่โดยหลักแล้ว การสวด คือการอ่านคำสอนของพระพุทธเจ้า การสวด คือการทำจิตภาวนา การสวด คือการสาทยายพระสูตร o ทุกอย่างเป็นสมบัติของโลกไม่มีใครเอาไปได้ ต้องมีจุดยืน o คำว่าเกจิอาจารย์หมายถึงอะไร เกจิ ตามรากศัพท์บาลีแปลว่า บางพวก/อาจารย์บางพวก (พหูพจน์) หรือ อาจารย์บางคน (เอกพจน์) คนไทยนำเอาคำนี้ไปใช้หมายถึงอาจารย์ผู้ที่มีวิชาอาคม ปลุกเสกเครื่องรางของขลังเท่านั้น o ในสมัยก่อนการสร้างเครื่องรางอาจารย์ต่างๆ สร้างด้วยเมตตาเป็นหลัก เพื่อให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น อาจารย์ธรรมโชติที่สร้าง ปลุกเสกผ้าประเจียดให้ทหารในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่มีธุรกิจมาเกี่ยวข้องเหมือนสมัยนี้ o ปัญญา ๒ ระดับ ระดับต้น รู้จัก รู้จำ และปัญญาระดับสูง รู้จริง รู้แจ้ง o หลวงพ่อชอบวัตรนี้ที่ไปมุมไหนก็จะได้เห็นรูปของหลวงย่า เป็นสิ่งแสดงได้ถึงความมีกตัญญู การติดรูปพ่อแม่เป็นสิ่งสมควร เพราะท่านมีคุณต่อเรา บ้านญาติโยมบางหลังติดรูปดาราเต็มบ้าน แต่ไม่มีรูปพ่อแม่ จึงไม่รู้ว่าดาราเหล่านั้นมีคุณต่อเรามากกว่าพ่อแม่อย่างไร o ยกย่อง แย้มยิ้ม อย่ายุ๊กยิก จะยุ่งเหยิง o ทุกคนต้องมีพระสูตรประจำชีวิต และต้องมีพระอรหันต์ประจำชีวิต o คนต้องมีศีลเป็นเครื่องปรับฐาน ปรับพื้นที่เพื่อเพาะปลูก และต้องมีทานจึงจะเกิดดอกผล เพราะถ้าเราปรับพื้นที่แล้วแต่เราไม่สละถั่วเขียว หรือข้าวเปลือกหว่านออกไป เราก็จะไม่สามารถปลูกถั่ว ปลูกข้าวได้ o การกรวดน้ำไม่ควรกรวดจากแก้วสู่แก้ว เพราะอะไร เพราะมันจะหก สิ่งของเท่าเทียมกัน ไม่ควรถ่ายเทกัน (จากแก้วสู่แก้ว) ของรองรับควรมีขนาดใหญ่กว่า กว้างกว่า เปรียบเหมือนคนมีความรู้เท่ากันไม่ควรปรึกษากันมันไม่ก้าวหน้า o การฟังอย่างบัณฑิตคือ ได้ฟังในเรื่องที่ไม่เคยฟัง ได้ฟังเรื่องที่เคยได้ฟังมาให้กระจ่างยิ่งขึ้น ขออนุโมทนากับแสงธรรมในปัญญา หนูดี (ไม่รู้จะทำอะไรดี) เจ้าค่ะ
|