เรามาวัตร...ทำไม |
วันนี้เป็นวันพระเล็กตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๗ ลูก ๆ บางคนที่ไม่เคยมาที่วัดนี้ ช่วงนี้เราจะทำสมาธิในขณะเดียวกันเราก็จะฟังธรรมไปด้วย ถ้ายังไม่เคยทำสมาธิมาก่อนให้พิจารณาที่ลมหายใจของเรากำหนดหายใจเข้ารู้ กำหนดหายใจออกรู้จิตไม่ซัดส่ายไม่ง่วงเหงาซึมเซา ถ้าเรารู้สึกง่วงเหงาซึมเซากำหนดมองที่พระอาทิตย์ สมมุติว่าพระอาทิตย์อยู่เบื้องหน้าเราแสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะทำให้เราตื่น คนที่จิตฟุ้งซ่าน พยายามนึกถึงของที่หนักมันจะได้ถ่วงเราลงมาจะทำให้เราไม่ฟุ้งซ่านไปไกล ให้เราพิจารณาว่าเรามาวัตรทำไม เรามาวัตรประการแรกเพื่อมาสร้างบุญสร้างกุศล วันนี้เราได้ถวายกองทาน ญาติโยมบ้างคนก็นำดอกไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเบิกบานใจ และยิ่งไปกว่าความเบิกบานใจ ดอกไม้เป็นธรรม ที่เตือนให้เรารู้ว่า ดอกไม้ที่ถวาย วันนี้งดงาม สดชื่น แจ่มใส พรุ่งนี้มันก็ร่วงโรยไป ธรรมที่เราได้จากดอกไม้ที่เราถวายพระก็คือ สังขารร่างกายของเราก็เป็นเช่นเดียวกับดอกไม้นั้น เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วเราก็เสื่อมเป็นธรรมดา ความเสื่อมของสังขารเป็นธรรมดานั้นคือการที่เราน้อมถวายดอกไม้ด้วยความเข้าใจในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการบูชาคุณองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่สูงขึ้นไปกว่าการบูชาดอกไม้เท่านั้น เรามาทำบุญ ทำกุศล โดยการเอาข้าวของมาถวายพระเพื่อให้พระนั้นจะยังชีพอยู่ได้ เพื่อให้พระได้รับใช้พระศาสนา เพื่อให้พระได้สั่งสอนเรา เพื่อให้พระได้ดำเนินชีวิตที่ดีเป็นตัวอย่างกับเรา ขณะเดียวกันถ้าดำเนินชีวิตดีแต่เราไม่ได้ทำตามเลย ในความเป็นจริงมันก็ไม่ช่วยให้ชีวิตของเราพัฒนาขึ้นมาได้ แท้ที่จริงแล้วการบรรลุธรรม ไม่จำกัดต้องเป็นพระ คุณโยมก็สามารถบรรลุธรรมได้ หนทางแห่งความรู้แจ้ง หนทางที่เข้าถึงซึ่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ได้จำกัดเฉพาะพุทธบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่หนทางนี้เป็นหนทางที่เปิดให้กับทุกคน ๆ ที่เดินตามทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สามารถเข้าถึงความรู้แจ้งด้วยกันเหมือนกันหมด นี้คือความงดงามของพุทธศาสนา เราไม่ได้มีการกีดกันเฉพาะคนนั้น เฉพาะคนนี้ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทั้งคนบวชและคนไม่บวชสามารถบรรลุธรรมได้ทั้งสิ้น นี้เป็นความงดงาม เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาวัตรทำบุญ ทำทาน ทำกุศล ทำกุศลอันนี้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Wholesome ทำสิ่งที่สมบูรณ์ ให้จิตใจของเราก็เป็นกุศล น้อมนำใจเข้ามาวัตร ใจเราเป็นกุศลไม่งั้นเราไปห้างสรรพสินค้าสนุกสนานไปตามชาวโลก แต่เรามาวัตรเพื่อที่เราจะมาวัดใจของเรา ว่าใจของเรานั้นกิเลสที่มันพอกพูนลดน้อยลงไปเพียงใด เพราะเรามาวัตรเพื่อมาขัดเกลาจิตใจทำใจให้สบาย เพื่อที่ว่าเราจะได้ดำเนินชีวิตที่มีความหมาย มีคุณภาพ มาวัดเราจะเห็นคน 2 พวก คนพวกหนึ่งก็คือนักบวช อีกพวกหนึ่งก็คือ ฆารวาส ทั้งฆารวาส ทั้ง พระ ถ้าไม่ได้วัดตัวเองมันไม่มีอะไรที่จะการันตีว่า พระจะกิเลสน้อยกว่าชาวบ้าน หรือ ชาวบ้านจะกิเลสมากกว่าพระ อันนี้ก็คือ สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ อาตมาเห็นหลายคน ที่ฆารวาสนั้นเองพยายามมีวิริยะความเพียร มีความอดทน มีศรัทธายึดมั่นที่จะละวาง ดำเนินตามทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางครั้งอาจจะมากกว่าคนที่บวชด้วยซ้ำ เฉพาะฉะนั้นถ้าเรานึกว่าเราเป็นพี่น้องกัน พุทธบริษัทจริง ๆ เป็นพี่น้องกันอย่าไปนึกว่าเป็นพระเราไปติติงไม่ได้เดี๋ยวตกนรก พระก็พี่เรา น้องเรา พระผู้หญิงก็พี่เรา น้องเรา ถ้าหากว่าทำอะไรที่เราคิดว่าจะไม่เป็นการดีต่อพระศาสนา เราต้องมีโอกาสที่จะประคับประคองซึ่งกันและกัน บอกกล่าวซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ว่าช่างมันตัวใครตัวมัน มันเลวก็ช่างมันอย่างนี้ก็ไม่ได้เอื้อต่อพระศาสนา คุณโยมมาวัตร คุณโยมก็มาวัดตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มาเพิ่มพูนกุศล ให้ตัวเราเองและคนที่เราสัมผัสในวันนี้ วันนี้เป็นวันพระใครก็ตามที่เราสัมผัสเพิ่มพูนความงดงาม ความเต็มเปี่ยมให้เกิดขึ้นในจิตใจ ฝรั่งที่มาเรียนเมื่อ ๒-๓ อาทิตย์ก่อน ที่บอกว่าให้หยุดนิ่งไม่คิดทำใจให้ว่าง ให้โปร่ง ละวางไม่ได้มันคิดตลอดเวลา อาตมาก็บอกว่ามันมีเทคนิควิธีแก้ ว่าถ้ามันจะคิด ให้มันคิดแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ดีมันก็เข้าไปทดแทน เข้าไปเติมเต็ม ส่วนความคิดชั่วมันก็ลดน้อยลงไปไหลลงข้างล่างทำนองนั้น ถ้าไม่สามารถจะหยุดคิดได้ ก็ขอให้ความคิดนั้นเป็นกุศลเป็นความคิดที่ตรวจสอบตัวเอง เป็นความคิดที่มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ถ้าหากว่าเราคิดตลอดเวลาเราเอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง เราดีคนเดียวคนอื่นมีแต่ข้อบกพร่อง สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเกิดความเป็นกุศลจิต ความเศร้าหมองในใจ ใจเราก็ไม่เต็ม ใจเราก็ไม่เปี่ยม มาวัตรเราก็ไม่มีอิ่มเอิบ มาวัตรเราต้องจิตใจอิ่มเอิบ เพราะมาวางสิ่งที่เป็นกิเลส และเรามาเพิ่มพูนสิ่งที่เป็นกุศล กุศลนี้มันจะทำใจของเราให้เต็ม ทำใจของเราให้เปี่ยม เราให้มีหลักนึกอย่างนี้
|