จากปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับนางวรางคณา
วนวิชเยนทร์ อายุ 55 ปี
แห่ง
วัตรทรงธรรมกัลยาณี
ต.พระประโทน
อ.เมืองนครปฐม
ที่เข้าพิธีบวชอ้างเป็นสามเณรีนุ่งห่มจีวรเหมือนพระสงฆ์และได้รับฉายาว่า
ธัมมรักขิตา
โดยมีภิกษุณีจากประเทศศรีลังกาเป็นอุปัชฌาย์นั้น
เป็นการบวชที่ไม่ถูกต้องและผิดระเบียบของคณะสงฆ์ไทยอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้แต่ก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถทำได้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแต่ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
รัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมทั้งฉบับปัจจุบันรับประกันเสรีภาพในการนับถือศาสนาตลอดจนนิกายของศาสนา
หรือลัทธินิยมในศาสนา
มีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือพิธีกรรมที่เชื่อถือในทางพระพุทธศาสนาถือว่ามนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน
ผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
ทั้งหญิงหรือชาย
ย่อมบรรลุธรรมหรือหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เท่าเทียมกัน
แม้คณะสงฆ์ไทยจะไม่รับรองการบวชเป็นบรรพชิตหญิงเพราะถือว่าขัดต่อพระธรรมวินัยแต่ก็คงจะไม่ขัดขวางถ้าหากผู้หญิงไทยจะไปบวชตามพิธีของนิกายประเทศอื่น
ซึ่งคณะสงฆ์ไทยคงจะไม่รับรองการบรรพชาสามเณรีครั้งนี้อย่างแน่นอน
เพราะคณะสงฆ์เคยมีคำสั่ง
ห้ามพระเณรทุกนิกายบวชผู้หญิงเป็นบรรพชิตเป็นคำสั่งตั้งแต่
พ.ศ. 2471 โดยยึดหลักพระพุทธานุญาตที่ว่าการบรรพชาเป็นสามเณรีจะต้องมีภิกษุณีที่บวชมาตั้งแต่
12 พรรษาขึ้นไปเป็นผู้บวชให้ส่วนภิกษุณีต้องบวชทั้งจากฝ่ายภิกษุและภิกษุณี
แต่เมืองไทยไม่มีภิกษุณีมาหลายร้อยปีเป็นอันว่าคณะสงฆ์ไทยซึ่งมีแต่พระภิกษุล้วน
ๆ
จึงไม่สามารถบวชผู้หญิงเป็นสามเณรีหรือเป็นภิกษุณีได้
เพราะภิกษุณีได้ขาดสายหายไปเป็นเวลาช้านานจึงไม่มีใครเป็นอุปัชฌาย์บวชให้สตรีได้แต่ผู้หญิงไทยที่บวชเป็นสามเณรีคราวนี้
ได้ภิกษุณีจากศรีลังกาเป็นอุปัชฌาย์และเมื่อ
ไม่นานมานี้ก็มีสตรีไทยไปบวชที่ศรีลังกา
ย่อมแสดงว่าศรีลังกายังสืบทอดการบวชภิกษุณีและสามเณรีไม่ขาดสาย
ในประวัติศาสตร์พระมหากษัตริย์ไทยเคยนำพระภิกษุศรีลังกาเข้ามาสืบทอดคณะสงฆ์ไทยและศรีลังกาก็เคยนำพระภิกษุไทยไปสืบทอดคณะสงฆ์ในประเทศของตนกลายเป็น
นิกายสยามวงศ์ ที่โด่งดังเพราะทั้งสองประเทศต่างก็นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเช่นเดียวกัน
จึงเป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้หญิงไทยจะไป
ขอเชื้อจากศรีลังกาเพื่อสืบทอดวงศ์บรรพชิตหญิงที่ขาดหายไป
เรื่องนี้ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนและอาจกระทบทั้งชาติและศาสนามหาเถรสมาคมอันเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยน่าจะออกมาแสดงจุดยืนที่แน่ชัด
เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในหมู่พุทธศาสนิกชนไม่ควรปล่อยให้นักการเมืองผู้ไม่สันทัดพระธรรมวินัยแก้ปัญหาทุกอย่าง
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องกฎหมายอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยด้วยเป็นทั้งทางโลกและทางธรรม
ซึ่งหากดูตามเงื่อนไขว่าถ้าบวชในฝ่ายนิกายเถรวาทถือตาม
พ.ร.บ. สงฆ์
ก็ผิดแต่ถ้าบวชฝ่ายนิกายมหายาน
แยกนิกายกันให้ชัด ๆ
ไปเลยก็อาจจะไม่ผิดและที่มาของกฎหมายสงฆ์มาจากพระวินัยที่บัญญัติไว้ในพระปาติโมกข์
พระปาติโมกข์ก็คือพระวินัยที่พระพุทธเจ้า
บัญญัติเป็นข้อห้าม
ไม่ให้สงฆ์ประพฤติ
ที่เราทราบดีว่าศีล
227 ข้อนั่นเองตามพระวินัยภิกษุณี
ต้องรับวินัยถึง 311 ข้อ
ซึ่งมากกว่าพระสงฆ์วินัยการบวชภิกษุณีก็เหมือนกับการบวชสามเณรคือมีอายุตั้งแต่
7
ขวบขึ้นไปโกนศีรษะถือศีล 10
แต่สามเณรีจักต้องบวชโดยภิกษุณีและได้รับการยอมรับจากภิกษุสงฆ์
อย่างไรก็ตามถ้าคิดจะบวชเป็น
ภิกษุณี
นั้นจะยุ่งยากกว่าการบวช
ภิกษุสงฆ์
ตรงที่จะต้องมีการฝึกฝนก่อน
2
ปีเรียกว่า สิกขมานา
เป็นการฝึกถือศีล 6
หรือ ธรรม
6 อย่างเคร่งครัด
จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้หากขาดข้อใดข้อหนึ่งไปก็ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ฝึกอย่างนี้เพื่อให้ตัวเองมีความมั่นใจมั่นคงใจบริสุทธิ์แล้วจึงจะเข้าพิธีบวชเป็นภิกษุณีโกนศีรษะนุ่งห่มสีเหลืองเช่นเดียวกับภิกษุสงฆ์ถือศีลมากกว่าภิกษุสงฆ์จุดสำคัญอีกจุดในการบวชเป็นภิกษุณีก็คือเมื่อ
ภิกษุณีที่เป็นอุปัชฌาย์ซึ่งต้องมีพรรษาล่วง
12 ปีแล้วเรียกว่า ปวัตตินี
บวชให้แล้ว
ต้องให้อุปัชฌาย์ที่เป็นพระภิกษุสงฆ์บวชให้อีกครั้งจึงจะสมบูรณ์
แต่ประเด็นที่น่าติดตามยิ่งก็คือเมื่อบวชเป็น
ภิกษุณี
ครบ
12 ปีแล้วก็สามารถ
เป็นอุปัชฌาย์บวชสามเณรีสืบทอดเองได้โดย
ไม่ต้องพึ่งภิกษุณีจากต่างประเทศเท่ากับเป็นการปูทางแผ่ขยายนิกายใหม่ในแวดวงพุทธศาสนาเมืองไทย
ซึ่งหากแพร่หลายในอนาคตเราอาจเห็นภิกษุณีหรือพระผู้หญิงเป็นเรื่องธรรมดาก็เป็นได้
|