วันนี้อันเชิญเรื่องราวของพระเจ้าพิมพิสาร
มาแสดงเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์
กับพวกเราสำหรับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม
พระเจ้าพิมพิสารนั้นเป็นกษัตริย์ครองแคว้นมคธ
นีเมืองหลวงอยุ่ที่กรุงราชคฤห์
เป็นพระราชาองค์แรกที่ได้สัมผัสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านับตั้งแต่ก่อนที่จะตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาน
เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ
ออกบวชนั้นเดินทางผ่านกรุงราชคฤห์พระเจ้าพิมพิสารมีโอกาสได้พบเห็นคลิกลักษณะ
เห็นกิริยาท่าทางมารยาทและความสามารถของเจ้าชายก็มีความศรัทธาเลื่อมใส
ถึงขนาดออกปากว่า
ขอให้อยู่ต่อเถิด
ขอให้อยู่ต่อที่เมืองราชคฤห์
เพื่อที่จะได้ทำงานบริหารร่วมกันโดยจะถวายเมืองถึงกึ่งหนึ่ง
แต่บอกว่าเหตุที่เสด็จออกจากบ้านเมืองมานั้นไม่ใช่เพื่อที่จะมาครองเมืองอื่น
แต่มีจุดประสงค์ที่จะแสวงหาโมกธรรมที่จะปลดทุกข์ของมนุษย์
ทุกข์แห่งการเกิดแก่เจ็บตาย
แต่ก็ขอขอบพระทัยพระเจ้าพิมพิสาร
และทรงรับปากว่าหากแม้วันข้างหน้าเมื่อได้ค้นพบสัจธรรมอันประเสริฐแล้ว
พระเจ้าพิมพิสารจะเป็นพระองค์แรกที่จะเสด็จมาโปรดสัตว์
อันนี้เป็นข้อตกลงกับพระเจ้าพิมพิสาร
เมื่อฉะนั้นได้ออกบวชเป็นเวลานานถึง
6 ปี
แสวงหาโมกธรรมจนในท้ายที่สุด
ได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อแสดงธรรมครั้งแรกที่เรียกว่าปฐมเทศนา
หรือว่าพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ต่อปัญจวัคคีย์แล้ว
หลายคนสงสัยวา
ก็ในเมื่อเสด็จมาจากกบิลพัสดุ์ทำไมไม่เสด็จกลับกบิลพัสดุ์
อันนี้ก็ติดขัดอยู่ตรงนี้
เพราะว่าได้เคยลั่นวาจาไว้แล้วว่าเมื่อบรรลุธรรมจะเสด็จโปรดพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระราชาองค์แรกด้วยเหตุนี้เสด็จมาโปรดพระเจ้าพิมพิสารก่อนคนอื่น
พระเจ้าพิมพิสารนั้นมีศรัทธาตั้งแต่สมัยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่แล้ว
เมื่อฉะนั้นเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธก็ยิ่ง
ทรงมีความศรัทธามากขึ้น
ปรารภถวายสวนไผ่ซึ่งเป็นจุดที่เสด็จออกมาเลี้ยงอาหารกระรอกอยู่บ่อยๆ
ที่นี่คือเวฬุวนารามนี่เอง
เป็นที่ที่ครั้งหนึ่งเกิดแล้งจัด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปเยือนที่ริมฝั่งสระน้ำ
ครองผ้าอาบน้ำฝน
ปรารภที่จะอาบน้ำทั้งๆที่ฝนแล้งนะ
ร้อนถึงเทวดาที่รักษาน้ำรักษาฝนต้องโปรยปรายสายฝนลงมา
ด้วยบารมีของพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ที่นี่เอง
ที่เวฬุนารามนี่เอง
พระเจ้าพิมพิสารเป็นอุบาสกที่ดีให้การสนับสนุนแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดทั้งคณะสงฆ์
ภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ต้น
พระเจ้าพิมพิสารนั้นมีพระมเหสีอยู่พระองค์หนึ่งพระนามว่าพระนางเขมาเป็นพระมเหสีที่นอกจากจะมีพระรูปโฉมแล้ว
ยังมีพระปัญญาเป็นเลิศ
แต่พระนางเขมายังติดอยู่ในความงาม
และยังไม่โน้มพระทัยศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระเจ้าพิมพิสารก็ใช้กุศโลบาย
คืออุบายอันเป็นกุศล
ให้นักดนตรีในวังแต่งเพลงสรรเสริญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ
แล้วก็บรรเลงกันในวัง
เมื่อพระนางเขมาได้ฟังนักดนตรีบรรเลงความงามของสวน
ความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์
ก็เกิดความสงสัยว่าที่นักดนตรีร้องเพลงถึงนั้นมีจริงหรือเปล่า
พระเจ้าพิมพิสารก็ประทานอนุญาตให้ข้าราชบริพารนำเสด็จพาพระนางเขมาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรม
พระนางเขมานั้นเป็นคนที่มีฐานจิตที่ดีอยู่แล้ว
แต่เพียงติดขัดด้วยวิบากกรรมอย่างบางเบา
เมื่อไปฟังธรรมครั้งแรกก็บรรลุโสดาบัน
สามารถจะละวางกิเลสได้ระดับหนึ่ง
เมื่อเสด็จกลับมาที่พระราชวังจึงทูลขอโอกาสจากพระเจ้าพิมพิสารขอออกบวช
เมื่อออกบวชแล้วก็ได้บรรลุธรรมบรรลุเป็นพระอรหันต์
ปรากฏได้การยกย่องจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระนางเป็นเอตัรคคะ
ในทางปัญญา
เป็นกำลังสำคัญในการสืบพระศาสนานับตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารก็ยังทรงให้การทำนุบำรุงสนับสนุนพระศาสนาด้วยดี
เข้าใจว่าพระนางเขมาไม่มีพระโอรส
แต่พระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระโอรสกับพระนางเวเทหิ
ก็คือเจ้าชายอชาตศัตรูผู้ที่คบคิดกับพระเทวทัตในขณะที่พระเทวทัตต้องการที่จะปกครองคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระเจ้าอชาตศัตรูก็ต้องการขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา
คือพระเจ้าพิมพิสาร
พระเจ้าอชาตศัตรูจับพระเจ้าพิมพิสารคุมขัง
พระเจ้าพิมพิสารเจริญกรรมฐาน
ทำสมาธิวิปัสสนาอยู่ที่คุมขังมีน้าต่างสูง
สูงพ้นศรีษะ
แต่ว่าติดลูกกรงเป็นหน้าต่างเล็กๆ
พอที่จะมีอากาศหายใจได้
พระเจ้าพิมพิสารนั้นต้องการที่จะกำจัดพระราชบิดา
ก็สั่งให้อดอาหารไม่ให้นำอาหารเข้าไปถวาย
ก็ปรากฎว่าพระเจ้าพิมพิสารก็ยังพระชนม์ชีพต่อมาได้
เพราะว่าพระนางเวเทหิพระมเหสีนั้นนำอาหารซ่อนไปในมวยผม
ชะโลมร่างกายด้วยน้ำผึ้ง
เมื่อเข้าไปเฝ้าพระสวามีก็แอบเอาอาหารที่ซ่อนไปในมวยผมนั้นให้พระสวามีเสวย
พระเจ้าพิมพิสารเลียน้ำผึ้งจากพระวรกายของพระนาง
ทำให้ทรงพระชนชีพได้
พระเจ้าอชาตศัตรูสงสัยว่าทำไมพระราชบิดายังมีพระชนม์ชีพอยู่
ซักไซ้ไล่เลียงทหารที่เฝ้าอยู่ก็ทราบว่าพระนางเวเทหิ
นั้นเข้าไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารอยู่บ่อยๆ
จึงสั่งงดการเข้าเฝ้า
แต่พระเจ้าพิมพิสารก็ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้โดยการที่เฝ้ามองที่ช่องพระแกล
เวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมาทรง
รับบาตรในตอนเช้า
ดำเนินลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏ
พระเจ้าพิมพิสารสามารถจะมองเห็นจากหน้าต่างไกล
ทรงอยู่ได้ด้วยอาหารใจ
สามารถที่จะครองสติครองกายได้โดยที่ไม่ทรุดโทรมลงไปนัก
พระเจ้าอชาตศัตรูก็ซักไซ้ไล่เลียงจากทหารอีกว่าเสด็จพ่อนั้นอยู่ได้ด้วยอย่างไรทหารก็เล่าให้ฟังว่า
เห็นวันๆหนึงตอนเช้าก็เห็นมองออกไปทางหน้าต่าง
พระเจ้าอชาตศัตรูก็ให้เอาหินมาปิดหน้าต่างเสีย
แต่พระเจ้าพิมพิสารก็ยังครองพระชนม์ชีพ
มาได้โดยการที่กำหนดจิตเดินจงกรม
เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูได้รับฟังว่าสมเด็จพ่อเดินจงกรม
ก็ให้ทหารเอามีดมาแล่เนื้อที่ฝ่าเท้าเพื่อที่ว่าจะได้เดินจงกรมไม่ได้
แม้กระนั้นพระเจ้าพิมพิสารก็ยังเจริญธรรมอยู่ในสมาธิแม้ว่าร่างกายจะถูกบั่นทอนไม่มีอาหารกายแต่เจริญอยู่ด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จนวันหนึ่งคนในวังก็ออกมาเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูบอกว่า
ข่าวดีพระเจ้าข้า
พระโอรสประสูติ แล้ว
พระเจ้าอชาตศตรูเมื่อได้โอบทารกน้อยที่เป็นสายเลือดของตนเองเป็นครั้งแรกรู้สึกถึงความสัมพันธ์พ่อกับ
ลูก
รู้สึกถึงความเมตตากรุณา
รู้สึกถึงความรักสายสัมพันธ์ที่พ่อมีต่อลูก
เป็นความรักที่ไม่มีอะไรเทียบได้
ก็ฉุกใจคิดได้ว่า
พ่อของเราก็คงจะรักเราเช่นเดียวกับที่เรารักลูกนี่แหล่ะ
วางโอรสน้อยแล้ว
จึงวิ่งไปทันทีไปในทิศทางที่คุมขังสมเด็จพ่อ
คือพระเจ้าพิมพิสารนั้น
เมื่อทหารบอกว่าพระเจ้าอชาตศตรูกำลังวิ่งมาทางทิศทางนั้น
พระเจ้าพิมพิสารทรงคิดว่า
บัดนี้ลูกกำลังจะมาฆ่าเรา
ถ้าหากว่าลูกฆ่าเราจะเป็นอนันตริยกรรม
เป็นกรรมหนักมากที่ลูกจะไม่มีวันได้ผุดได้เกิด
จะต้องตกลงไปในนรกอเวจี
ไม่มีโอกาสที่จะได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป
พระเจ้าพิมพิสาร
ด้วยความรัก ความเมตตา
ความเป็นห่วงลูกไม่ต้องการที่จะให้ลูกกระทำอนันตริยกรรมบาปหนักที่สุด
จึงกลั้นพระทัยสิ้นพระชนม์เมื่อพระเจ้าอชาตศตรูมาถึงปรากฏว่าสมเด็จพระราชบิดานั้นสิ้นลมเสียแล้ว
ก็มีความโศกเคร้าเสียใจ
ถึงแม้จะสำนึกผิดแต่ก็สายเสียแล้ว
ได้จัดการถวายเพลิงพระศพพระราชบิดาอย่างใหญ่โตสมกับที่เป็นกษัตริย์ครองแคว้นมคธ
เรื่องราวตอนนี้เองที่จะสืบทอดไปสู่เรื่องสุขาวดีว่าพระนางเวเทหิ
เป็นผู้ที่มีความทุกข์อย่างยิ่งต่อการกระทำของลูก
มีความทุกข์อย่างยิ่งเมื่อพระสวามีทนทรมาน
อยู่ในคุก จนกระทั่ง
ในท้ายที่สุดมาสิ้นลมหายใจในคุกนี่เอง
ทรงปรารถว่าไม่อยากเกิดอีกต่อไป
เมื่อไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ทูลองค์สมเดษ็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่ต้องเกิดอีก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึง
ทรงใช้อิทธิฤทธิ์ของพระพุทธองค์แสดงให้ปรากฏในโลกธาตุต่างๆ
เหมือนกับฉายหนังให้ดูฉายหนังให้ดูโลกนี้ๆๆ
โลกธาตุนี้เป็นยังไงๆ
พอไปถึงสุขาวดีซึ่งเป็น
พุทธเกษตรของพระอมิตารา
ก็ขึ้นไปเกิดในสุขาวดีซึ่งเป็นพุทธเกษตร
ของพระอมิตารา พุทธเจ้า
มีความร่มรื่น มีต้นไม้
มีดอกไม้งดงาม
ผู้ที่มั่นคงในพระอมิตารา
ก็ขึ้นไปเกิดในสุขาวดี
แม้แต่นกที่อยู่บนนั้น
เวลาที่เปล่งเสียงออกมาก็เป็นเสียงธรรม
บรรยาย
มีบรรยากาศทางธรรมที่ดียิ่ง
ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกมนุษย์
ไม่ต้องลงไปลำบากในนรก
พระนางจึงทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเลือกโลกธาตุ
นี้แหละเลือกที่จะไปเกิดในโลกธาตุสุขาวดีนี้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแสดงธรรม
บรรยายว่าจะต้องมีการปฏิบัติอย่างไรที่จะได้ไปเกิดในสุขาวดี
อันเป็นพุทธเกษตรของอมิตรา
พุทธเจ้า
นี่ก็เป็นเรื่องราวของพระเจ้าพิมพิสารที่สืบเนื่องไปถึงเรื่องสุขาวดี
ขอให้เราน้อมใจระลึกถึงว่าพระเจ้าพิมพิสารนั้นเป็นผู้ที่แม้ว่าจะไม่ได้บวช
แต่เป็นพุทธบริษัทเป็นอุบาสกที่มีความมั่นคงในคำสอนของพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
และด้วยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเองที่ทำให้พระเจ้าพิมพิสารไม่มีความหวั่นไหว
แม้จะอยู่ในภาวะที่บีบคั้นทั้งกายและใจก็สามารถประคองตนอยู่ในการปฏิบัติธรรมหล่อเลี้ยงสังขารร่างกายมาจนวาระสุดท้าย
ไม่มีแม้ความโกรธพยาบาทในลูกซึ่งเป็นสายเลือดของตนเอง
ไม่มีความผู้พยาบาท
ตรงกันข้ามกับมีความรักความเมตตาปรารถนาให้ลูกเป็นสุขเสมอ
ปรารถนาไม่อยากที่จะเห็นลูกจะต้องไปลำบาก
ปรารถนาที่จะไม่อยากจะเห็นลูกต้องไปตกนรก
ในภพภูมิที่ไม่ได้ผุดได้เกิด
ยอมเสียสละแม้ชีวิตของตัวเองนี่ก็คือการเจริญธรรมในขั้น
อุกฤต
ที่สุดขอให้พวกเราน้อมนำใจระลึกถึงพระคุณของพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่สามารถเยียวยารักษาใจของพระเจ้าพิมพิสารฉันใดก็ขอให้พระพทุธคุณนั้นจงเป็นหลักใจให้กับพวกเราทุกคนเช่นเดียวกัน
ขออนุโมทนา
สาธุ
|